xml sitemap generator

ของฝาก

เขียนโดย akekoksom | 13:08 | 0 ความคิดเห็น »

เมื่อถึงเทศกาลต่างๆ ทั้งวันขึ้นปีใหม่ หรือว่าวันสงกานต์ พวกเราที่เป็นมนุษย์เงินเดือนก็ต้องเตรียมตัวเดินทางกลับ บ้านเกิดที่อยู่ต่างจังหวัดครับ และพ่อปัน ปัน ก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นด้วยครับ แต่ปีนี้พอดีว่าพ่อปัน ปัน วางแผนไว้ล่วงหน้าค่อนข้างนานหน่อยเลยได้หยุดติดต่อกันหลายวันครับ เรียกได้ว่าพอกลับมาทำงานต้องปรับตัวอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่งานจะนิ่งและเข้าที่ก็ว่าได้ครับ

วันนี้นำเรื่องของฝากมาเขียนในบล็อกปัน ปัน ๆ ครับ ก็ด้วยเหตุที่พ่อปัน ปัน ต้องทำงานที่จังหวัดระยอง เวลาที่จะต้องเดินทางกลับบ้านที่โคราช ก็เลยต้องเตรียมตัวหลายวันทั้งเรื่องของเวลาในการเดินทาง และต้องหลีกเหลี่ยงเรื่องของ การจราจร ที่ต้องติดขัดเพราะต้องแย่งกันกลับไปฉลองกับครอบครัวกันครับ “ของฝาก”  ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยครับ ส่วนมากของฝากต่างๆ ก็จะได้มาจากพื้นที่นั้นๆ ครับ อย่างที่ระยองก็ส่วนมากเป็นอาหารทะเลตากแห้งต่างๆ ครับ

 

ปลาอินทรีย์ตากแห้ง 

สำหรับของฝากที่พ่อปัน ปัน ไปซื้อมาเพื่อเตรียมนำกลับไปฝากครอบครัว ทั้งครอบครัวของพ่อปัน ปัน เองและครอบครัวของคุณยายน้องปัน ปัน ก็มีหลายอย่างครับ ก็มี กุ้งแห้ง กระปิ ปลาอินทรีย์ตากแห้ง (เค็ม) ทั้งตัว แล้วก็ทุเรียนทอดกรอบ ครับก็หมดไปหลายตังค์เหมือนกันครับ เรียกว่าพอออกจากร้านค้าเดินตัวเบาเลยครับ

 

กุ้งแห้ง

 
ของฝากชิ้นที่สองเป็น “กุ้งตากแห้ง” ครับตามรูปที่สองครับ เป็นกุ้งเนื้อตากแห้งครับ ซื้อมา 1 กิโลครับเป็นกุ้งขนาดใหญ่ครับตกกิโลกรัมละหกร้อยกว่าบาทครับ อันนี้ถ้าทำน้ำพริกกะปิอร่อยครับ

 

กะปิเคย

 
ของฝากอีกอย่างที่พ่อปัน ปัน ซื้อมาก็ “กะปิ” ครับทำจาก “เคยเล็ก” ครับไม่ใช่ทำจากกุ้งนะครับ เมื่อพูดถึง “เคย” พ่อปัน ปัน เคยไปดูชาวประมงเค้าจับครับนำมาทำกะปิจะอร่อยครับ




หมึกกระตอย 

หมึกกระตอยครับของฝากที่พ่อปัน ปัน นำเสนอครับอันนี้นำมาทอดแล้วกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยครับ หรือว่าคอเหล้า คอเบียร ทั้งหลายไม่ครวพลาดครับ รับรองจะติดใจครับ หรือว่าจะนำมาผัด กะเพรา ก็อร่อยครับผม สำหรับหมึกกะตอยก็เป็นของฝากแนะนำอีกอย่างที่น่าลองครับ 

 

ทุเรียนทอดกรอบ 

ชิ้นสุดท้ายเเป็นทุเรียนทอดกรอบครับซื้อมา 8 ถุง ประมาณ 2 กิโลกรัม ตกถุงละ 100 บาทครับ อันนี้แม่ของน้องปัน ปัน ชอบทานครับ สำหรับทุเรียนทอดชาวบ้านเค้าจะนำทุเรียนที่ยังไม่สุกหรือเรียกว่า “ทุเรียนห่ามๆ” ครับนำมาทอดแล้วก็คลุกเคล้าเกลือแกงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเค็มเล็กน้อยครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับผมสำหรับ “ของฝาก” จากจังหวัดระยองจริงๆ แล้วยังมีอีกเยอะครับจำพวก หมึกตากแห้ง หรือปลาตากแห้งต่างๆ ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ท่านไหนมีโอกาสมาเกี่ยวจังหวัดระยอง ก็ลองแวะเวียนมาซื้อได้ครับที่บริเวณ “ตลาดแม่แดง” ซึ่งมีให้เราเลือกซื้อหาของฝากได้หลายร้านมากครับ สำหรับเรื่องราคาก็สามารถต่อรองกันได้ครับ

Calendar 2010

เขียนโดย akekoksom | 20:20 | 0 ความคิดเห็น »

วันนี้พ่อปัน ปัน ใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อทำงานชิ้นหนึ่งครับ “ปฎิทิน” ครับเป็นปฎิทินปี 2010 ก็เหลืออีกไม่กี่วันก็จะขึ้นปีใหม่อีกแล้ว เลยอยากที่จะทำอะไรที่เก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป เกี่ยวกับน้องปัน ปัน นึกขึ้นมาได้ตัวเราก็ก็พอมีฝีมือด้านการแต่งภาพอยู่นี่ก็เลยจัดการรวบรวมรูปภาพต่างๆ ที่ถ่ายเก็บไว้นำมาทำเป็นปฎิทินไว้ใช้ที่โต๊ะทำงานที่บริษัท และกะว่าจะทำให้แม่ของปัน ปัน และตากับยายของปัน ปัน ด้วยครับ ดูรูปด้านล่างเลยครับ

 

Calendar

 

สำหรับโปรแกรมที่ผมใช้ทำหลักๆ ก็เป็น “PhotoShop” แล้วก็ “Excel” ครับเพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องใช้ “Excel” ด้วยเหรอเพียงแค่ PhotoShop ก็น่าจะพอแล้วลองอ่านเหตุผลของผมดูนะครับ

Excel ผมใช้สำหรับสร้างตัวเลขและจัดเรียงแบบปฎิทินในเดือนต่างๆ ทั้ง 12 เดือนครับ เพราะง่ายและสะดวกรวดเร็วอีกทั้งยังสามารถปรับรูปแบบของตัวอักษรได้ง่ายกว่า PhotoShop เยอะครับ พอสร้างปฎิทินใน Excel เสร็จแล้วก็ Copy ไปวางที่ PhotoShop ครับ

สำหรับ PhotoShop ผมจะสร้างแบบหรือ Template ไว้ก่อนเป็นไฟล์ PSD หลังจากนั้นก็นำรูปภาพต่างๆ ที่เตรียมไว้มาวาง แล้วก็นำปฎิทินที่ทำจาก Excel มาวางครับ เสร็จแล้ว Save เป็นเดือนต่างๆ ทั้ง 12 เดือนเป็นอันว่าเสร็จสมบูรณ์ครับ อ๋อปฎิทินที่ผมทำเป็นขนาดมาตราฐานครับขนาด 6x8 นิ้ว เป็นแบบตั้งโต๊ะครับ

สำหรับการสั่งพิมพ์ออกตอนนี้ยังไม่ได้พิมพ์ครับ เดี๋ยวต้องไปหาซื้อกระดาษ หรือไม่ก็อาจจะไปที่ร้านอัดภาพให้เค้าอัดออกมาให้ครับ ส่วนถ้าหากเสร็จแล้วเดี๋ยวถ่ายรูปมาลงบล็อกให้ดูครับผม

หนังสือเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้

 

วันนี้พ่อปัน ปัน นำหนังสือที่น่าอ่านมาแนะนำอีกหนึ่งเล่มครับซึ่งก็ไปหาซื้อมาพร้อมกันกับหนังสือ “คุณพ่อเล่นกับหนูหน่อย” ที่พ่อปัน ปัน เคยเขียนในบล็อกไว้แล้วครับ ดูน่าตาของหนังสือตามรูปด้านล่างเลยครับ เผื่อคุณพ่อ หรือ คุณแม่ท่านไหนสนใจก็ไปหาซื้อมาอ่านได้ครับ (สำหรับผมแล้วไม่ได้ค่า Commission เพิ่มแต่อย่างใดครับ)

สำหรับเนื้อหาของหนังสือโดยรวมผู้เขียนคือคุณ “พงษ์ระพี เตชพาหพงษ์” เขียนจากประสบการณ์จริงของเค้าเอง ที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวนี้ ด้วยความที่ คุณพงษ์ระพี เองต้องการที่จะให้ลูกสาวของเค้าที่เกิดมาพูดได้สองภาษา เหมือนกับเด็กลูกครึ่งทั่วๆ ไป แต่ด้วยที่ความที่คุณพงษ์ระพี มีพื้นฐานด้านการใช้ภาษาอังกฤษที่น้อย เลยคิดและหาวิธีต่างๆ ในการที่จะทำให้ลูกสาวของตนเองพูดได้สองภาษา

หนังสือ “เด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้” จะมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน แบ่งการอ่านหนังสือและการสอนลูกอย่างเป็นระบบโดยแบ่งเป็น 4 ระดับซึ่งก็ได้แก่

ระดับ A =>ฟังพูดสองภาษาได้อย่างคล่องเหมือนเด็ฏที่เป็นลูกครึ่งแท้ที่พูดสองภาษาในครอบครัว
ระดับ B =>ฟังและพูดสองภาษาได้ระดับหนึ่งแต่ยังไม่คล่องนัก
ระดับ C =>ฟังและพูดได้แต่วลีสั้นๆ จำนวนหนึ่ง ฟังเข้าใจแต่ยังอายหรือไม่อยากพูดภาษาที่สอง
ระดับ D =>ฟังและพูดได้แค่ศัพท์พื้นฐานจำนวนหนึ่งมีความอายในการพูดภาษาที่สอง
 

ซึ่งในแต่ละระดับนั้นคุณพงษ์ระพี เค้ามีคำแนะนำด้วยครับว่าคนที่เป็นพ่อแม่ต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะได้ไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ซึ่งมันก็คือลูกๆ ของเราสามารถพูดได้สองภาษาครับ หลักการก็เพียงแต่พ่อกับแม่ต้องมีความตั้งใจทั้งสองฝ่ายในการที่จะสอนลูกและพูดจากับลูกโดย หลักๆ จะแยกกันระหว่างพ่อและแม่ คือ พ่อจะพูดกับลูกในภาษาอังกฤษ และแม่จะพูดกับลูกในภาษาไทย โดยเริ่มตั้งแต่ลูกเล็กๆ เลยครับยิ่งเราเริ่มต้นเร็วเท่าไร เด็กก็จะสามารถปรับตัวและพูดได้เร็วเท่านั้น ซึ่งก็จะทำให้เป้าหมายของเราบรรลุเร็วเท่านั้นครับ

หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นเรื่องการใช้คำศัพท์ต่างๆ ที่พูดคุยกับลูกด้วยภาษาง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันตั้งแต่การกินข้าว กินน้ำ หรือแม้แต่การเล่นต่างๆ กับลูก ซึ่งช่วงแรกๆ เด็กๆ ก็อาจจะสบสนไปบ้างแต่ก็สามารถปรับตัวได้ง่าย เพราะพัฒนาการของเด็กจะค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมครับ

สำหรับพ่อปัน ปัน เองก็ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็จะพยายามปรับเพื่อนำไปใช้กับน้องปัน ปัน ครับแต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหนพ่อปัน ปัน ไม่ได้ซีเรียสครับ เอาเป็นว่าเราได้ทำแล้วและเด็กซึ่งก็คือลูกของเราเองนั้นสามารถรับได้มากหรือเปล่า ไม่อยากไปบังคับมากครับ ปล่อยให้พัฒนาการค่อยๆ เป็นไปอย่างธรรมชาติครับ

คุณพ่อและคุณแม่ท่านใดได้อ่านแล้วก็ลองนำไปปรับเปลี่ยนใช้กับครอบครัวของตนเองดูครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีกฎตายตัว สามารถปรับเปลี่ยนและแก้ไขได้ สำหรับวิธีการนี้อาจใช้ได้กับครอบครัวหนึ่ง แต่อาจจะนำมาใช้กับอีกครอบครัวหนึ่งไม่ได้ครับ


สวนสาธารณะ 
ผมได้ไปอ่านบทความเกี่ยวกับการป่วยของพ่อซึ่งส่งผมไปถึงเจ้าตัวเล็กของเราด้วยครับ ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องย์เชื่อครับเพราะเค้านำมาจากผลการทำวิจัยครับ

The Lancet วารสารออนไลน์ทางการแพทย์มรผลการวจัยออกมาว่าคุณพ่อที่เป็นโรคหัวใจ โรคซึมเศร้า ติดยาหรือแอลกฮอล์ หรือเป็นโรคทางจิตต่างๆ ลูกชายมีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบตามคุณพ่อด้วยครับ

การดูแลรักษาสุขภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำครับ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ชายอย่างเราๆ ท่านๆ ทั้งมีการดูแลสุขภาพน้อยกว่าผู้หญิงและยังพบอีกด้วยว่าผู้ชายเป็นโรคซึมเศร้า 3-6% และเมื่อคุณพ่อเครียดลูกวัยรุ่นมีโอกาสเสี่ยงที่จะเครียดและอาจจะมีพฤติกรรมฆ่าตัวตายได้ครับ

มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย “Oxford” ประเทศอังกฤษ บอกว่าปัญหาสุขภาพสุขภาพของพ่อนั้นมีความสำคัญมากเพราะจะส่งผลกระทบไปถึงครอบครัวและลูกได้ เพราะเมื่อคุฦณพ่อมีปัญหาด้านอารมณ์ ลูกก็มีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์ และพฤติกรรมแบบนั้นด้วยครับ


เด็กๆ ขี่จักรยานไปโรงเรียน 
นักวิจัยยังบอกอีกด้วยว่าปัญหาสุขภาพของคุณพ่อที่ส่งผลถึงลูกนั้น ยังไม่พบหลักฐานว่าหลังจากที่คุณพ่อได้รับการรักษาให้หายแล้วลูกจะมีอาการดีขึ้น

ด้วยสังคมยุคนี้มีการแข่งขันกันแทบทุกอย่างผู้ชายก็จะมีปัญหาเรื่องความเครียดเยอะมากครับ โดยเฉพาะผู้ชายที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วและกำลังมีลูกเล็กๆ เพราะส่วนมากบ้านเราผู้ชายจะเป็นเสาหลักของบ้านในการได้มาซึ่งรายได้ต่างๆ และคุณแม่ก็จะเป็นประเภทจ่ายออกไปซึ่งร่ายได้ที่ได้มาครับ แต่ถ้ารู้จักใช้จ่ายก็ไม่เกิดปัญหานั้นๆ ซึ่งถ้าค่าใช้จ่ายไม่พอ คุณพ่อนี่แหละครับเครียดแน่นอน

ตอนนี้น้องปัน ปัน ยังเล็กอยู่พ่อปัน ปัน กับแม่ปัน ปัน ยังสามารถช่วยกันหาเงินจากเงินเดือนอันน้อยนิดมาซื้อนมได้ ซึ่งก็มีรายได้กันทั้ง 2 ทาง

บ้างครั้งความเครียดที่เกิดจากสังคมรอบข้างเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว ทำให้คนไทยขาดการแบ่งปัน ขาดการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าเราเปรียบเทียบสังคมเมือง กับ สังคมชนบท จะเห็นได้อย่างค่อนข้างชัดเจนจึงทำให้คนในเมืองมีความเครียดมากกว่าคนชนบท

ทุกอย่างมีทางออกครับเพราะว่ามนุษย์ เป็นเครื่องจักรที่ถูกออกแบบมาให้แก้ไขปัญหาต่างๆ ครับถ้าเครียดมากๆ เรื่องงานก็เดินไปทีห้องกาแฟซิครับ ไปชงกาแฟเข้มๆ สักแก้วรับรองหายเครียด หรือว่าวันพักร้อนเหลือเยอะมากก็ลามะลิลาไปเที่ยวเลยครับเอาสักหลายๆ วันประเภทว่า ลาจนเจ้านายลืมเลยว่ายังมีลูกน้องอย่างเราทำงานกับเค้าอยู่ ครับถ้า “ถ้าท้องอิ่มก็มีสติครับ” คำๆ นี้ยังใช้ได้อยู่นะครับ พ่อปัน ปัน ไม่สงวนลิขสิทธิ์แบบ Windows ครับผม

วัคซีนอีสุกอีใส 
วันนี้นำเรื่องวัคซีนอีสุกอีใสมาคุยครับ เชื่อว่าพ่อแม่หลายๆ ท่านคงต้องเคยผ่านการเป็น “อีสุกอีใส”กันมาบ้างแล้ว พ่อปัน ปัน ก็เช่นเดียวกันครับผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ที่นำมาพูดนี่เพราะว่ากำลังปรึกษากับแม่ของน้องปัน ปัน ว่าจะพาปัน ปัน ไปฉีด “วัคซีนอีสุกอีใส” ดีหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ แล้วก็ด้วยความเป็นห่วงและสงสารลูกนั่นแหละครับ เรามารู้จักโรคอีสุกอีใส และวัคซีนอีสุกอีใสกันครับ


ลักษณะอาการ
อีสุกอีใสเป็นโรคที่พบได้ทุกภูมิภาคทั่วโลก พบบ่อยในเด็ก อายุต่ำกว่า 6 ปี โดยทั่วไปไม่มีอาการรุนแรง แต่ติดต่อได้ง่าย อาการแทรกซ้อนที่พบไม่บ่อย คือ สมองอักเสบ ปอดอักเสบ ถ้าเป็นในผู้ใหญ่จะมีอาการรุนแรง และเป็นนานกว่า เช่น พบ Varicella pneumonia ได้ 14% ในผู้ใหญ่ ถ้ามารดาเป็น ขณะตั้งครรภ์ 16 สัปดาห์ แรก ทารกอาจจะพิการแต่กำเนิด หรือหากเป็นระยะ ใกล้คลอด ทารกอาจติดเชื้อและ มีอาการรุนแรง หลังการ ติดเชื้อไวรัสนี้ (Varicella Zoster Virus) จะคงอยู่ใน ปมประสาทในร่างกาย ทำให้เกิดอาการโรคงูสวัด ในเวลาต่อมาได้ โดยมีอาการปวด เส้นประสาท อัมพาต เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดบวม และมีอาการทางตา วัคซีนที่ผลิตและนำออกมาใช้แล้วเป็นวัคซีน เชื้อเป็นสายพันธุ์ Oka ที่ผ่านขบวนการขยายพันธุ์ในเซลล์เพาะ เลี้ยง MRC-5 hurman diploid cell ที่ปราศจากสาร/ ตัวก่ออันตราย/โรค เพื่อให้ อ่อนแรงลง แต่สามารถกระตุ้น ภูมิคุ้มกันโรคและป้องกันโรค ได้ดี โดยได้มาตรฐานชีววัตถุตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก แม้ว่าเมื่อเทียบ กับเชื้อ ในธรรมชาติจะมี ความต่าง บ้างในด้าน DNA restrictive endonuclease cleavage patterns

วัคซีนกระตุ้นภูมิทั้งระบบเซลล์ (CMIR) และระบบ น้ำเหลือง (HMIR) พบว่า อาจจะน้อยกว่าการติดเชื้อเอง จากธรรมชาติ ในเด็กโตและผู้ใหญ่ จะตอบสนองต่อ วัคซีนน้อยกว่าในเด็ก ประสิทธิผลของวัคซีนจึงขึ้นกับ อายุและสภาพภูมิต้านทาน ของผู้รับวัคซีนด้วย ดังนั้น ในผู้ใหญ่ที่สุขภาพดี และในเด็กที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง การให้วัคซีนเป็นการสร้างภูมิบางส่วนและลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นถ้าติดโรค เองมากกว่าที่จะเป็นการสร้างภูมิป้องกันอย่างสมบูรณ์

ขนาดยาที่ใช้
เด็กอายุตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไปถึง 12 ปี ให้โดสเดียว 0.5 ml. วัยรุ่นอายุตั้งแต่ 13-17 ปี และผู้ใหญ่ ฉีด 2 โดส เข็มที่สองห่างจากเข็มแรก 1-2 เดือน ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
ห้ามฉีดเข้า intradermal หรือ intravenous

การเก็บรักษา
วัคซีนชนิดแห้งเก็บไว้ที่ 2-8 ํC หรือต่ำกว่า หรือกันแสง ส่วนตัวทำละลายเก็บในตู้เย็นหรือ อุณหภูมิห้องก็ได้
ให้ดูคำแนะนำจากเอกสารประกอบ (ขึ้นกับข้อมูลการผลิต + ความคงตัว) เมื่อผสมให้รอจนการละลายสมบูรณ์
ไม่มีผงอนุภาค เหลืออยู่ หรือการปนเปื้อนก่อนนำไปฉีด และให้รีบใช้ ภายใน 30 นาทีหลังผสมตัวทำละลายแล้ว

การให้วัคซีน
อาจให้พร้อมกับวัคซีนอื่นได้ ที่เป็น inactivated vaccine แต่ควรแยกฉีดคนละตำแหน่ง และใช้หลอด  เข็มฉีดยาแยก ในกรณีวัคซีนที่มีส่วนประกอบของเชื้อหัดควรให้ห่างกัน 1 เดือนเป็นอย่างน้อย และไม่ควรฉีดร่วมกับ วัคซีนเชื้อเป็นอื่นๆ เช่นกัน

ข้อควรระวัง
ไม่ใช้ในสตรีมีครรภ์ และควรเลี่ยงการ มีครรภ์ ในช่วง 3 เดือนหลังฉีดวัคซีน ส่วนสตรีให้นมบุตรยังไม่มีข้อมูล ไม่ให้ขณะมีไข้สูงเฉียบพลัน ไม่ให้ในผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดขาวชนิด lymphocyte ต่ำกว่า 1,200/ml. หรืออาการอื่นที่แสดงว่า ภูมิคุ้มกันขาดประสิทธิภาพ
ที่มา:http://www.gpo.or.th/news/interest/inter12.htm

ได้รู้จักกับเชื้อโรคอีสุกอีใสกันแล้วนะครับ ในสังคมยุคไอที ถ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ค้นจาก Internet กันครับเรียกได้ว่าสะดวกและรวดเร็วซึ่งก็สามารถทำให้เราสามารถตัดสินใจทำอย่างหนึ่งใดได้ทันท่วงทีครับ

สำหรับคุณพ่อและคุณแม่ท่านใดที่มีลูกเล็กๆ และได้ไปฉีดวัคซีนอีสุกอีใสแล้วมีอะไรที่จะแนะนำก็ลองฝาก comment ไว้ได้นะครับ เพราะพ่อปัน ปัน ก็กำลังตัดสินใจว่าจะพาลูกชายไปฉีดวัคซีนอยู่พอดีครับ

วันนี้เป็นวันหยุดอีกหนึ่งวันของมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายครับซึ่งหลังจากที่พ่อปัน ปัน ไปหาข้าวกินแล้วเลยเกิด Idea ว่าจะนำเรื่องอะไรมาเขียนลง “บล็อกปัน ปัน” ว่างๆ เลยขับรถไปเที่ยวแถวชายทะเลครับ ซึ่งก็ไม่ห่างจากบ้านพักสักเท่าไร ก็ประมาณ 10-15 กม. ครับ สำหรับส่วนใหญ่พ่อปัน ปัน จะไม่บรรยายแต่จะเน้นเรื่องรูปภาพเป็นหลักครับเพื่อกระตุ้นต่อมความอยากให้กับเพื่อนๆ ชาวบล็อกทั้งหลายให้มเที่ยวระยองครับ

ป้ายประกาศเตือน
บ้านก้นอ่าว 
สำหรับเพื่อนๆ หลายๆ ท่านคงเคยได้อ่านข่าวเกี่ยวกับนักศึกษาที่มารับน้องใหม่แล้วต้องจมน้ำและเสียชีวิตบ่อยๆ ครับทั้งๆ ที่มีป้ายประกาศเตือนแล้วถ้าอ่านแล้วปฎิบัติตามกันคงไม่เกิดปัญหาครับ

ห่วงยาง
เรือกล้วย

สำหรับอีก 2 รูปข้างบนเพื่อนๆ ที่มาเที่ยวชายทะเลทุกทีก็จะเจอได้ทั่วไปตามชายหาดในประเทศไทยครับ ซึ่งพ่อปัน ปัน ก็เดินไปเรื่อยๆ ได้จังหวะก็กดซัตเตอร์มาฝากเพื่อนๆ ครับซึ่งช่วงนี้ผู้คนยังค่อนข้างเงียบอยู่ครับ


Hand-Foot-and-Mouth-Disease 
สืบเนื่องมาจากน้องปัน ปัน เป็นไข้หวัดตามฤดูกาลเมื่อช่วง “วันพ่อแห่งชาติ” และพ่อปัน ปัน ก็พาไปพบคุณหมอซึ่งคุณหมอท่านก็ตรวจน้องปัน ปัน โดยตรวจแบบละเอียดเลยก็ว่าได้คุณหมอบอกว่าช่วงนี้ “โรคมือเท้าปาก” กำลังระบาดหนักในเด็กเล็กครับ พ่อปัน ปัน เลยไปสืบค้นจาก “พี่กู” มาให้ครับว่า “โรคมือเท้าปาก” เป็นอย่างไรเพื่อช่วยกันหาวิธีสังเกตุและช่วยกันป้องกันครับ

โรคมือเท้าปาก (Hand-Foot-and-Mouth-Disease)
หรือโรคที่ติดปากกันทั่วไปว่า "โรคมือ เท้า ปาก เปื่อย" เป็นหนึ่งในกลุ่มอาการที่เกิดจากเชื้อ enterovirus มีลักษณะเฉพาะ คือ มีตุ่มน้ำใส (vesicular lesion) ที่ปาก มือ และเท้า

ประวัติความเป็นมา
พ.ศ. 2500 มีรายงานการระบาดของกลุ่มอาการไข้ ซึ่งพบร่วมกับตุ่มนํ้าใสในช่องปาก มือและเท้าในผู้ป่วยเด็กที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา โดยพบสาเหตุจากเชื้อ Coxsackie virus A16 (Cox A16)
พ.ศ. 2502 พบการระบาดของกลุ่มอาการเช่นเดียวกันในเมือง Bermingham ประเทศอังกฤษ และได้มีการเรียกกลุ่มอาการนี้ ว่า Hand-Foot-and Mouth Disease (HFMD) หลังจากนั้นมีรายงานการระบาดจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก

โรค มือ เท้า ปาก มีการระบาดแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ในประเทศเขตหนาว มักพบในช่วงฤดูร้อน และต้นฤดูใบไม้ ร่วง ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม แต่ในเขตร้อนชื้นรวมทั้งประเทศไทยพบได้ตลอด ทั้งปี แต่จะชุกในช่วงฤดูฝนและช่วงที่มีอากาศร้อนชื้น เชื้อที่พบเป็นสาเหตุของโรคมือ เท้า ปาก แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และแต่ละการระบาด ส่วนใหญ่ที่พบเชื้อ Coxsackie virus A16, Enterovirus 71และ Echovirusแต่เชื้อที่พบในการระบาดแต่วผู้ป่วยมักมีอาการรุนแรง พบผู้เสียชีวิตและพิการตามมาได้บ่อยคือ Enterovirus 71 ในประเทศไทย โรคมือ เท้า ปาก มีสาเหตุจาก EV71 ประมาณร้อยละ 15-30 ซึ่งเชื้อ EV71 นั้นมี โอกาสก่อให้เกิดอาการรุนแรงในผู้ป่วย

นมจากเนื้อไก่ 
สืบเนื่องมากน้องปัน ปัน ตอนที่แรกเกิดใหม่ๆ เป็น “โรคแพ้โปรตีนจากนมวัว” อย่างรุนแรงคนที่เป็นพ่อ และเป็นแม่ก็เป็นทุกข์ เป็นร้อนแทนลูกเพราะกลัวว่าลูกจะกินนมชนิดไหนได้บ้าง ซึ่งเกิดมาบอกตรงๆ พ่อปัน ปัน ก็เพิ่งเคยได้ยินว่ามี “โรคแพ้โปรตีนจากนมวัว” ด้วยจึงได้ไปสอบถามผู้รู้ และค้นหาตาม Interner โดยตั้งหัวข้อการค้นหาแบบทั่วๆ ไปคำหลักๆ ที่ใช้ก็คำนี้ “โรคแพ้โปรตีนจากนมวัว” และ “เด็กแพ้โปรตีนจากนมวัว” ซึ่งผลการค้นจากูเกิลออกมาเยอะมากและเป้นที่น่าพอใจ เลยนึกในใจว่าน้องปัน ปัน มีเพื่อนแล้ว เพราะว่าเด็กเล็กๆ ที่เกิดใหม่เป็น “โรคแพ้โปรตีนจากนมวัว” เยอะมากจนน่าเป็นห่วงครับ

และอีกหนึ่งบทความที่พ่อปัน ปัน ไปค้นเจอจาก Internet ก็เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ที่ค้นพบและสกัดนมจากเนื้อไก่ ซึ่งมีสารอาหารต่างๆ เหมือนนมทั่วๆไปครับ โรงพยาบาลศิริราชเป็นที่ซึ่งทำการค้นพบและประกาศเผยแพร่ให้กับประชาชนได้รับรู้ คุณพ่อและคุณแม่ ที่มีลูกน้อยเป็น “โรคแพ้โปรตีนจากนมวัว” ลองอ่านดูและใช้เป็นทางเลือกในการซื้อหามาให้ลูกน้อยกินกัน ซึ่งราคาก็จะถูกกว่านมที่ใช้เฉพาะสำหรับเด็กที่เป็นโรคนี้ ซึ่งสำหรับน้องปัน ปัน ตอนนี้ไม่ได้กินนมที่สกัดจากเนื้อไก่ครับ แต่กิน “นมนูตรามีเจน” ครับ

deerหลังจากกลับบ้านที่โคราชตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมาพ่อ ปัน ปัน ไม่ได้เข้ามาตรวจสอบ บล็อกปัน ปัน เลยเพราะมัวแต่เดินตามลูกชายก็น้องปัน ปัน นั่นแหล่ะครับ เพราะเมื่อพ่อปัน ปัน และแม่ปัน ปัน กลับบ้าน คุณยาย และ คุณตาที่เคยเลี้ยงปัน ปัน ก็จะได้พักผ่อนบ้างก็เลยเป็นหน้าที่ของ พ่อปัน ปัน และ แม่ปัน ปัน ที่ต้องดูแลน้องปัน ปัน ครับ

ช่วงที่อยู่ที่โคราชอากาศเย็นมากครับ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20-23 องศาเลยที่เดียวครับ ลมก็แรงด้วยสำหรับเด็กๆ อย่างน้องปัน ปัน ก็ยิ่งใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะยังพูดไม่ได้ว่าหนาวคืออะไร รู้อย่างเดียวคือร้องครับ

สำหรับน้องปัน ปัน ภาพนี้พ่อ ปัน ถ่ายน้องปัน ปัน ตอนกำลังเล่นขี่กวางน้อยอยู่ กำลังสนุกสนานกับการได้ขี่กวางเลยที่เดียว สังเกตุจากการยิ้มเห็นฟัน ที่เริ่มงอกบางส่วน ซึ่งยังงอกไม่ครบเลยครับ

เจ้ากวางน้อยนี้พ่อปัน ปัน ซื้อมาจากระยองในราคา 250 บาทก็ซื้อมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถ่ายภาพมาลง บล็อกปัน ปัน เสียที่ช่วงกลับโคราชงวดนี้เลยจับมาให้น้องปัน ปัน ขี่แล้วก็กดชัตเตอร์เสียเลย กว่าจะได้ภาพนี้มาก็ต้องหลอกล่อน้องปัน ปัน นานเลยที่เดียวครับ ผมก็เลยเข้าใจบรรดาช่วงกล้องทั้งหลายที่ทำงานกับเด็กเล็กๆ ว่าต้องใช้ความอดทนมากถึงมากที่สุดแค่ไหน เพราะอารมณ์ของเด็กๆ ในวัยขนาดลูกชายผมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาครับ ไม่มีนิ่งครับ อยากเล่นโน่น เล่นนี่ ตลอดเวลาจะนิ่งตอนหลับนี่แหล่ะครับ

กวางน้อยตัวนี้น้องปัน ปัน ชอบมาก เพราะขนาดตัวเองกำลังกินนมอยู่ พอนึกขึ้นมาได้ก็เดินเอาขวดนมไปป้อนเจ้ากวางน้อยเสียเลยทั้งๆ ทีตัวน้องปัน ปัน เองยังกินไม่อิ่มเลย นี่แหละมังที่เค้าเรยกว่า “ความไรเดียงสาของเด็ก” ซึ่งเค้าไม่รู้หรอกว่ากวางน้อยมันไม่มีชีวิต เป็นเพียงของเล่นเท่านั้น พ่อปัน ปัน กับแม่ปัน ปัน เลยบอกว่าเจ้ากวางน้อยกินนมอย่างปัน ปัน ไม่ได้นะครับ

สำหรับพัฒนาการของเด็กในวัยนี้อย่างน้องปัน ปัน จากที่ผมสังเกตุระหว่างเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน น้องปัน ปัน จะชอบมากคือการได้กระโดดโลดเต้นตามทีโต๊ะ เก้าอี้ต่างๆ ได้วิ่งเล่นแบบเร็วๆ สุด โดยไม่สนว่าจะชนอะไร ขึ้นที่สูงแล้วก็กระโดดลงมาให้พ่อรับมั่ง หรือว่าขึ้นโต๊ะแล้วกระโดดลงมาโดยที่ไม่กลัว ว่าจะเจ็บหรือไม่ ตามแขนขาของน้องปัน ปัน นี่มีแต่แผลถลอกเต็มไปหมด แต่ผมไม่ค่อยสนใจครับเพราะเจ็บได้ก็หายได้เพียงแต่คอยประคองอยู่ห่างๆ เวลาน้องปัน ปัน เล่นด้วยความที่ “ความไรเดียงสาของเด็ก” และสมองเด็กยังพัฒนาได้ยังไม่เท่าผู้ใหญ่ ทำให้การตัดสินใจและวิเคราะห์เรื่องต่างๆ ยังไม่ดีพอ ครับผม

ฝากสำหรับคุณพ่อ และคุณแม่ทั้งหลายช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฤดูหนาวแบบเต็มตัวแล้ว ต้องใส่ใจลูกๆ ของเราเป็นพิเศษ จัดหาเสื้อผ้ากันหนาว ถุงมือ ถุงเท้า หรือหมวกกันหนาวส่วมใส่ให้บรรดาเด็ก เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นเพราะเด็กอย่างน้องปัน ปัน ยังพูดไม่ได้บอกเราไม่ได้ว่า “พ่อครับ แม่ครับ ผมหนาวจังเลย”

Follow My Finger Over Ground
หนังสือ Follow My Finger Over Ground เล่มนี้เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน และบนต้นไม้ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “Over Ground” อย่างเช่น กระรอก นกฮูก ตัวหนอนต่างๆ กระแต และสัตว์อื่นๆ

สำหรับหนังสือ Over Ground เป็นหนังสือที่ให้เด็กเล็กฝึกทักษะการใช้นิ้วมือ ในการบังคับทิศทางให้ไปตามร่องที่เจาะไว้ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ก็จะมีสัตว์ต่างๆ ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ด้วยครับ ส่วนมากจะเป็นรูปภาพเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เด็กๆได้เพลิดเพลินกับรูปภาพ อีกทั้งยังคุ้นเคยกับสัตว์ชนิดต่างๆ

หนังสือเล่มนี้ซื้อให้ปัน ปัน ตั้งแต่ปัน ปัน อายุได้เพียง 4-5 เดือนเองครับ ช่วงแรกๆ พ่อก็จะจับนิ้วมือปัน ปัน ชี้ไปตามร่อง ที่กำหนดไว้ได้เรียนรู้การใช้กล้ามเนื้อมือด้วยนะครับ ช่วงแรกปัน ปัน ก็ยังไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพียงแต่จุดมุ่งหมายของพ่อก็คือ ให้ปัน ปัน ได้คุ้นเคยกับตัวหนังสือ และรูปภาพสัตว์ต่างๆ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้สิ่งอื่นๆ ต่อไป ครับ

สำหรับปัน ปัน ตอนนี้ก็เริ่มคุ้นเคยกับหนังสือต่างๆ ที่พ่อซื้อให้แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิทานต่างๆ เพราะเมื่อปัน ปัน อยากจะให้พ่อหรืแม่ปัน ปัน อ่านหนังสือเล่มไหนให้ฟัง ปัน ปัน ก็จะเดินไปหยิบหนังสือมาให้อ่าน จะเรียกว่าเดินไปหยิบก็ไม่เชิงเรียกว่าไปรื้อค้นมากกว่า และที่ปัน ปัน จะทำเป็นประจำคือ “ต้องมานั่งตัก” ทุกครั้งที่ต้องการให้อ่านหนังสือให้ฟังครับ

การอ่านหนังสือปัน ปัน ฟังพ่อกับแม่ก็เพียงสร้างความคุ้นเคยให้ปัน ปัน ได้รู้กับหนังสือชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือการ์ตูน หนังสือนิทาน แม้แต่หนังสือสวดมนต์ ก็มีนะครับ จากที่พ่อกับแม่สังเกตุ “พัฒนาการของปัน ปัน” ที่ได้จากการอ่านหนังสือ และจับหนังสือของปัน ปัน เวลาพ่อกับแม่แกล้งส่งหนังสือกลับหัวให้ปัน ปัน….ปัน ปันจะพยายามจับหนังสือพลิกไปพลิกมาและจัดรูปแบบการอ่านได้อย่างถูกต้อง ,

สำหรับระยะเวลาที่พ่อปัน ปัน และแม่ปัน ปัน อ่านหนังสือให้ปัน ปัน ฟังจะไม่นานครับประมาณ 5-10 นาที หรืออาจจะน้อยกว่านี้ก็ได้ เพราะวัยขนาดปัน ปัน ยังมีความสนใจอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ อีกเยอะ ซึ่งหนังสือก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ของปัน ปัน เท่านั้นครับ

พูดถึงฟักทองซึ่งเป็นผักพืชบ้านของเมืองไทยชนิดหนึ่ง ซึ่งหลายๆครัวเรือนก็รู้จักกันดี เพราะสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิดด้วยกัน อย่างเช่น “สังขยาฟักทอง” “บวชฟักทอง” “แกงเลียง” “ผัดฟักทอง” และอื่นๆ ซึ่งหลายๆ ท่านก็คุ้นเคยและได้ลองทานกันมาบ้างแล้ว หรือว่าถ้าหากท่านไหนยังไม่เคยลองทานก็ลองไปหาซื้อมาทานกันนะครับ อย่างน้อยก็คิดเสียว่าเป็นการสนับสนุนเกษตรกรบ้านเราครับผม

ฟักทอง
ฟักทองเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่แม่ปัน ปัน และพ่อปัน ปัน นำมาประกอบเป็นอาหารให้น้องปัน ปัน ทานครับ ซึ่งก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่แม่ปัน ปัน สอนลูกให้กินผัก ครับซึ่งการนำฟักทองมาประกอบอาหารให้น้องปัน ปัน ทานนั้นแม่ปัน ปัน จะนำมาต้มรวมกับข้าวสวย และ ใส่ผักชนิดต่างๆ ลงไปไม่ว่าจะเป็น “ผักตำลึง” “ยอดมะรุม” “มันฝรั่ง”“ฟักทอง”และ “แครอท”  ต้มจนเปื่อย แล้วนำมาบดให้ละเอียดแล้วก็ป้อนปัน ปัน สำหรับปัน ปัน พ่อไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบแต่ปัน ปัน ก็กินได้ครับแล้วก็กินได้เยอะด้วยซิครับ


นมผงนูตรามีเยน

หลังจากที่น้องปัน ปัน มีอายุครบ 1 ขวบครึ่งมาแล้ว พ่อปัน ปัน กับแม่ปัน ปัน เลยลองจะเปลี่ยนนมผงที่ให้น้องปัน ปัน กินบ้างเพราะว่าเกิดสงสารลูกขึ้นมาเดี๋ยวผมเล่าให้ฟังว่าเพราะอะไรครับ สืบเนื่องมาจากเรื่องนมๆ นี่แหล่ะครับ

นมผงนูตรามีเยน

เป็นนมที่น้องปัน ปัน ทานมาตั้งแต่ช่วง 1-2 เดือนแรกเลยครับเป็นนมที่คุณหมอท่านหนึ่ง ท่านแนะนำให้ทานสืบเนื่องมาจาก น้องปัน ปัน เป็น โรคแพ้โปรตีนจากนมวัว และ แพ้นมจากถั่วเหลือง ขั้นรุนแรง:

สักษณะเด่นของนมผงนูตรามีเยน
-มีรสชาดที่ขม (พ่อปัน ปัน เคยลองอันนี้ Confirm)
-มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เลย (กลิ่นแรงออกทางเหม็นๆ นิดหน่อย)
-มีเนื้อนมผงที่ละเอียดกว่านมเด็กทั่วๆ ไป (ลองเปรียบเทียบดูจากนมผงชนิดอื่นๆ)
-หาซื้อยาก และมีราคาแพง เมื่อเทียบปริมาณกับนมทั่วไป  1 กระป๋อง (425 กรัม) ราคาตั้งแต่ 310-500  บาท ขึ้นอยู่กับว่าซื้อที่ไหน และซื้อปริมาณมากหรือไม่
-ไม่มีวางขายตามร้านค้า หรือ ห้างสรรพสินค้าทั่วไป ต้องหาซื้อตามร้านขายยา ที่มีเภชักรประจำร้านเท่านั้น

แหล่งซื้อนมผงนูตรามีเยน
-ที่จังหวัดระยองเมื่อก่อน(ประมาณ 1 ปี) ที่ผ่านมามี 3 ร้าน , แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียง 2 ร้าน ซึ่งร้านที่ซื้อเป็นจำชื่อร้านบ้านหมอโอสถ อยู่ข้างๆ ตลาดแม่แดง ในตัวเมืองระยอง สำหรับร้านที่ 2 จำชื่อไม่ได้ครับเพราะไม่เคยไปซื้อ
-ที่บ้านเกิดน้องปัน ปัน ก็ที่โคราช มี 2 ร้านใหญ่ๆ ที่ขายนมผงเด็กเทือบทุกชนิด ร้านที่ 1 ชื่อร้านเวชกิจ ร้านที่ 2 ก็อยู่ใกล้ๆกัน แต่จะอยู่ตรงกันข้ามกันครับ ร้านทั้ง 2 อยู่เลยศาลหลักเมืองโคราชไปทางตลาดหลักเมืองครับ
-การซื้อผมจะซื้อไปเก็บไว้กินเป็นเดือนครับ ก็จะตกเดือนละ 10-12 กระป๋อง (ที่ต้องซื้อเยอะเพราะบ้างครั้งของขาด ก็ไม่มีให้ลูกกิน กว่าที่ทางร้านจะสั่งมาใหม่ก็ประมาณ 1 อาทิตย์ , ทางร้านเค้าไม่กักตุ่นไว้เยอะครับเพราะราคามีขึ้น ลง เหมือนราคาทองครับผม)

นมผงเอนฟาโกร


นมผงเอนฟาโกร 
สำหรับนมชนิดที่สองมีชื่อว่า “นมผงเอนฟาโกร” ซึ่งพ่อปัน ปัน และแม่ปัน ปัน ตัดสินใจเลือก “นมผงเอนฟาโกร” นั้นมีแรงจูงใจจากผู้ผลิตเป็นเจ้าเดียวกันกับ “นมผงนูตรามีเยน” ครับจริงๆ แล้วไม่รู้หรอกว่าน้องปัน ปัน จะทานแล้วจะแพ้หรือเปล่า ก็อาศัยเดาดู และสังเกตุอาการของน้องปัน ปัน เอาครับ ซึ่งเมื่อลองผสมกับนมผงนูตรามีเยแล้วน้องปัน ปัน ไม่แพ้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแพ้ก็คิดว่าจะเปลี่ยนเหมือนกัน

นมผงเอนฟาโกรเป็นนมผงทั่วๆ ไปที่เด็กเล็กสามารถกินได้ ที่ส่วนผสมของนมวัวครับ สำหรับแหล่งที่หาซื้อก็จะหาซื้อได้ตามร้านขายนมทั่วไป หรือแม้แต่ในห้างก็มีขายครับผม ซึ่งเมื่อเทียบกับนมผงนูตรามีเยน แล้วคนละเรื่องครับ ราคาก็ต่างกันครับ จากรูปนี้ด้านในมี 3 ห่อ ปริมาณสุทธิ 1.95 กก. ครับ ราคาตั้งแต่ 730-780 บาท

ตอนนี้น้องปัน ปัน กินนมผสมกันระหว่าง “นมนูตรามีเยน + นมเอนฟาโกร” โดยมีอัตราส่วนดังนี้ครับ
นมนูตรามีเยน 3 ช้อน (3 ออนซ์) + นมเอนฟาโกร 3 ช้อน (3 ออนซ์) + น้ำต้มสุข 6 ออนซ์ สำหรับอาการข้างเคียงเกี่ยวกับการแพ้นมยังไม่มีครับ , และบางส่วนก็จะให้กินอาหารทั่วไปที่เด็กเล็กกินได้ครับ จำพวกข้าว , ปลา , ต้มจืด หรือว่าผลไม้ต่างๆ เสริมนิดหน่อยเรื่องให้กินผักต่างๆ ซึ่งก็จะเป็นการ สอนลูกน้อยให้กินผัก ด้วยครับ 

Carrot
สืบเนื่องมาจากตอนที่ผมเขียนไว้ สอนลูกให้กินผัก วันนี้เลยนำเรื่องแครอทมาเขียนให้น้องปัน ปัน สำหรับแครอท จะเกี่ยวข้องอย่างไรกับน้องปัน ปัน ซึ่งแครอทก็เป็นผักชนิดหนึ่งและเรานำหัวแครอทมาทานกันครับ

ลักษณะเด่นของแครอท
เป็นพืชกินหัวชนิดหนึ่ง มีลักษณะยาว หัวแครอทมีหลายสี เช่น เหลือง ม่วง ส้ม แต่ที่นิยมรับประทานในปัจจุบันคือสีส้ม เป็นพืชแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าแท่งดินสอ หรือที่เรียกว่าเบบี้แครอท ไปจนถึง ขนาดใหญ่

ประโยนช์ของแครอท
หัวแครอทมีวิตามินเอสูง ใช้รับประทานเพื่อบำรุงสายตา แก้โรคตาฟาง ใช้เป็นยาขับปัสสาวะเนื่องจากมีปริมาณ เกลือโปแตสเซี่ยมสูง และยังสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือนได้อีกด้วย แครอทมีสาร "เบต้าแคโรทีน" ที่ช่วยยับยั้งเซลล์ของมะเร็งและต่อต้านการสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นต้นกำเนิดเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี มีส่วนช่วยให้ตับขับสารพิษออกจากร่างกาย แคลเซียมเพคเตทในแครอท ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ลดการเกิดโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว บำรุงเซลล์ผิวหนังและเส้นผม นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม มีฟอสฟอรัส เหล็ก มีวิตามินเอ บี1 บี2 และวิตามินซี

สำหรับการนำแครอทมารับประทานก็มีหลากหลายวิธีครับ เช่น นำมาคั่นเอาน้ำแครอทและนำมาดื่มแบบสดๆ หรือนำมาผัดรวมกับผักชนิดอื่นๆ สำหรับวิธีที่พ่อปัน ปัน และแม่ปัน ปัน สอนให้ลูกกินผัก คือการนำแครอทสดๆ ไปต้มให้สุขก่อนครับเพื่อลดความหืนของแครอทครับ แล้วก็นำมาหันเป็นแท่งเล็กๆ แล้วให้ปัน ปัน ถือกินเลยครับ ซึ่งน้องปัน ปัน ก็จะกัดเล่นเป็นส่วนมาก เข้าปากมังไม่เข้ามัง ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 100 % กินเข้าไป 20-30 % ผมก็ถือว่า OK แล้วครับจุดประสงค์หลักๆ คือเป็นการฝึกการใช้ฟันกัดอาการของเด็กครับ และอีกวิธีหนึ่งที่ผมทำเป็นประจำคือนำมาต้มกับข้าวรวมกับผักอื่นๆ เพื่อให้ปัน ปัน กินครับ หรือว่าจะต้มจืดเต้าหู้หมูสับใส่แครอทก็ได้นะครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับวิธีการ สอนลูกให้กินผัก ซึ่งคุณพ่อหรือว่าคุณแม่ท่านไหนมีวิธีการนำแครอทมาปรุงเป็นอาหารรับประทานก็ช่วยกันแนะนำด้วยนะครับ ซึ่งการสอนน้องปัน ปัน ให้กินผัดพ่อปัน ปัน และแม่ปัน ปัน ไม่ได้ตั้งเป้าหมายมากมายหรอกครับ เพียงแต่ให้น้องปัน ปัน ได้กินผักต่างๆ ที่หลากหลายเพื่อได้ลอง ลิ้มรสชาด ต่างๆ ของผักต่างชนิดกัน ที่มีกลิ่นและรสชาดที่ไม่เหมือนกันครับ

แก๊งค์แฟนฉัน

วันนี้พ่อปัน ปัน เกิดคิดถึงปัน ปัน มาแบบกระทันหันอาจจะด้วยความผูกพัน หรือความห่วงใยที่พ่อมีให้ลูก เลยหยิบ Albums ภาพที่นำมาจากโคราช มานั่งเปิดดู เลยมาสะดุดกับภาพนี้ครับ ทำให้ได้ Idea เพื่อนำมาเขียนลงใน BlogPun-บล็อกปัน ปัน ซึ่งหลังจากมีคนแซวพ่อปัน ปัน ว่านำเรื่องหนักๆ มาลงใน BlogPun-บล็อกปัน ปัน จากภาพนี้ดู พ่อปัน ปัน เลยนึกถึงภาพยนต์เรื่องหนึ่งชื่อเรื่อ่งว่า“แฟนฉัน”ซึ่งพ่อปัน ปัน ได้ไปดูด้วยกันกับแม่ปัน ปัน แล้วเกิดประทับใจในฝีมือการแสดงของน้องๆ เค้าครับ ซึ่งปานนี้ก็โตกันเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วครับ แต่รับรองว่าไม่ใช่น้องๆ ในภาพนี้นะครับ

จากภาพก็เป็นเพื่อนๆ ของน้องปัน ปัน ซึ่งพ่อปัน ปัน ก็เลยตั้งชื่อให้ว่า “แก๊งค์แฟนฉัน” เสียเลยครับซึ่ง เริ่มจากน้องเสื้อเหลืองเลยครับชื่อ “น้องแก้วตา” คนต่อมาเสื้อแดงสุดหล่อ “น้องปัน ปัน” ลูกชายผมเองครับ คนที่อุ้มน้องปัน ปัน ชื่อ “พี่เก้า” คนที่นั่งถัดมาชื่อ “น้องหวิว” และน้องคนสุดท้ายชื่อ “น้องตุ๊กตา” สำหรับ “"น้องแก้วตา , พี่เก้า” เป็นพี่น้องกันจริงๆ ครับ และยังเป็นญาติของน้องปัน ปัน ด้วยครับ ซึ่งมีศักดิ์เป็น พี่ของปัน ปัน ครับ ส่วน น้องหวิว และ น้องตุ๊กตาเป็นเพื่อนๆ ข้างบ้านปัน ปัน ที่มาเล่นกับปัน ปัน เป็นประจำครับ

ได้รู้จักชื่อกันหมดแล้วถ้าหากจะมี Kid Modeling ท่านไหนเห็นแววรุ่งก็ติดต่อ “น้องปัน ปัน” (เสื้อแดงสุดหล่อ) คนที่กำลังดูดนมขวดนั่นแหล่ะครับ สำหรับค่าตัวก็ไม่แพงอย่างที่คิดครับแค่ นมวันละ 3 เวลาและขนมอีกนิดหน่อยก็ OK แล้วครับแต่พ่อปัน ปัน ไม่รับรองความป่วนของแก๊งค์นี้นะครับ

คุณพ่อเล่นกับหนูหน่อย  
วันนี้พ่อปัน ปัน มีหนังสือมาแนะนำครับซึ่งผู้เขียนเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับบรรดา พ่อแม่ที่มีลูกๆในวัยใกล้เคียงกับปัน ปัน หรือว่าวัยที่กำลังอยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโต ชื่อหนังสือตามหัวข้อเลยครับ“คุณพ่อเล่นกับหนูหน่อย” ซึ่งผู้เขียนไม่ได้มีแบ่งเกี่ยวกับรายได้ต่างๆ เกี่ยวกับการขายหนังสือแต่อย่างใด เพียงแต่เห็นว่าจะเป็นประโยขน์ต่ออีกหลายๆ ท่านเพียงเท่านั้น

สำหรับหนังสือ “คุณพ่อเล่นกับหนูหน่อย” ผู้เขียนหยิบมาอ่านครั้งแรกแล้วรู้สึกชอบและประดับใจ ในการสื่อสารให้ผู้อ่านได้ ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันกับลูกๆ ของเราซึ่งอยู่ในวัยเด็กในช่วงของวัยกำลังเรียนรู้ อยากเล่น อยากทดลองต่างๆ หรือว่าค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ลูกยังไม่เคยเจอมาก่อน แต่เราซึ่งเป็นพ่อหรือแม่ได้ผ่านช่วงเวลานั้นๆ มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นฟุตบอล การเล่นน้ำฝน หรือว่าการเล่นการสร้างบ้านจากกล่องกระดาษต่างๆ ซึ่งกิจกรรมต่างๆ บางครั้งเราเป็นผู้ใหญ่แล้วมองว่าเป็นกิจกรรมที่ไรสาระ หรือไม่น่าจะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าท่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วผู้เขียนว่าพ่อแม่ทั้งหลายคงต้องเปลี่ยนแนวความคิดในการเลี้ยงดูลูกเล็กๆ และได้ไอเดียเจ๋งๆ มาเลี้ยงลูกอีกเยอะครับ

วันนี้พ่อมีโอกาสอ่านบทความของนิตยสาร ”รักลูก” และมีบทความเกี่ยวกับ “พัฒนาการทางสายตาของเจ้าตัวเล็ก” พ่อเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพ่อแม่ท่านอื่นๆ ที่กำลังมีน้องในวัยเดียวกันกับปัน ปัน หรือว่าวัยใกล้เคียงกับ ปัน ปัน ก็เริ่มเลยแล้วกัน

วัยลูกน้อย

พัฒนาการทางสายตา

กิจกรรมส่งเสริมสายตา

-แรกเกิด - 2 เดือน

-สามารถมองเห็นในระยะ  12 นิ้ว แต่ไม่ชัด

-สบตา พูดคุย ยิ้มแย้มและมองหน้าลูกใกล้ แล้วค่อยๆ เลื่อนหน้าไปทางซ้าย-ขาว ให้ดูภาพหรือสิ่งของสีขาวสลับสีดำ
-4-6 เดือน -สามารถแยกสีต่างๆ ได้และตอบสนองต่อสีต่างๆ ได้ครบทุกสี และชอบมองวัตถุที่เคลื่อนไหวได้ -แขวนของเล่นที่เคลื่อนไหวได้ เช่น โมบายรูปสัตว์ต่างๆ หรือของเล่นที่มีรูปทรงและสีสันหลากหลาย ให้ลูกเอื้อมคว้าได้และเล่นกับลูก
-8-10 เดือน -สามารถรับรู้เรื่องสีได้ดี ชอบมองสิ่งของที่มีความซับซ้อนขึ้น การมองเห็นพัฒนามากขึ้น และยังมองตามวัตถุที่กลิ้งหรือเคลื่อนไหวได้ -พาลูกน้อยออกไปดูต้นไม้ ใบหญ้า หรือพาไปเจอผู้คนที่ไม่คุ้นเคย เล่นกลิ้งลูกบอลไปหาลูก ให้ลูกเล่นของเล่นที่ให้ต่อเป็นรูปทรงต่างๆ 
-1-3 ปี -สามารถจดจำใบหน้าคนคุ้นเคยได้ มือและสายตาทำงานประสานกันได้ดี พัฒนาการมองเห็นเกือบเท่าผู้ใหญ่ และควรพาลูกไปตรวจสุขภาพตาด้วย -ชวนลูกน้อยเล่นต่อจิ๊กซอว์หรือบล็อกไม้แบบง่ายๆ เล่นเกมซ่อนหา หรือเกมเก็บของใส่ตระกล้า พาลูกไปเล่นนอกบ้านและสอนเรียกชื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมถึงอ่านหนังสือกับลูกอย่างสม่ำเสมอ

หวังว่าคงจะมีประโยชน์กับพ่อแม่อีกหลายๆ ท่านที่กำลังมีลูกในวัยเดียวกันกับ น้องปัน ปัน สามารถนำไปปรับใช้ในการสังเกตุพัฒนาการของลูกๆ ได้นะครับ

Viral Gastroenteritis โรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้
วันนี้พ่อไปหาบทความเกี่ยวกับโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ที่เกิดกับ ปัน ปัน เมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านี้ซึ่งอาการของปัน ปัน จากที่แม่เล่าให้พ่อฟังพ่อเลยไปค้นหามาเพื่อจะได้เป็นประโยชน์กับพ่อ แม่ของเด็กๆ คนอื่นๆ ที่เข้ามาอ่านในบล็อกปัน ปัน
ซึ่งดูจากอาการแล้วปัน ปัน คงไปหยิบอาหาร หรือกินอาหารที่มีเชื้อตัวนี้เข้าไปครับ เพราะก่อนที่ปัน ปัน จะเกิดอาการดังกล่าวปัน ปัน ได้ไปเล่นที่วัดภูเขาลาดที่เค้าจัดงานศพ ของคนใกล้ๆบ้านของคุณยายครับ ที่บ้านไม่มีคนเลี่ยงเลยต้องพาไปด้วยที่วัดไปเล่นที่วัด

โรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้
(Viral Gastroenteritis)
โรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ (ไวรัล แกสโตรเอ็นตีไรติส) ทำให้เกิดการอาเจียน และท้องร่วงเป็นพักๆ ป้องกันการติดเชื้อได้โดยการล้างมือให้สะอาด ผู้ที่เป็นโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ไม่ควรจับต้องอาหารจนกว่าเวลาผ่านไปแล้ว 48 ชั่วโมงหลังจากที่ฟื้นจากโรคนี้
โรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้คืออะไร?
โรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้เป็นการติดเชื้อสามัญของท้องและลำไส้ มีผลทำให้อาเจียนและท้องร่วง อาจเกิดได้จากไวรัสหลายชนิด เช่น โรตาไวรัส และ โนโรไวรัส (ก่อนหน้านี้เคยถูกเรียกว่าไวรัสนอร์วอล์คไลค์) นอกจากนั้นยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกมากที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบที่มิได้เกิดจากไวรัส รวมทั้งแบคทีเรีย สารพิษ พยาธิ และโรคบางชนิดที่ไม่ใช่โรคติดต่อ
อาการของโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้คืออะไร?
อาการสำคัญของโรคนี้คืออาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ อาการอื่นๆ อาจรวมถึง คลื่นไส้ เป็นไข้ ปวดท้องน้อย ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อ ติดตามต่อมาด้วยภาวะขาดน้ำ อาการเหล่านี้ใช้เวลาระหว่างหนึ่งถึงสามวันกว่าจะปรากฏ และโดยปกติมักจะเป็นอยู่ระหว่างวันถึงสองวัน แต่บางครั้งอาจนานกว่านี้
จะวินิจฉัยโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้อย่างไร?
การวินิจฉัยขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องขอคำยืนยันจากห้องทดลอง นอกเสียจากว่ามีการระบาดเกิดขึ้น เมื่อนั้นแหละที่จำเป็นต้องทำการทดสอบอาเจียนหรืออุจจาระ
โรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้แพร่ได้อย่างไร?
โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายมาก และแพร่กระจายทางอาเจียนหรืออุจจาระของผู้ติดเชื้อ ผ่านทาง:
• การติดต่อระหว่างคนต่อคน เช่น การสัมผัสมือกับผู้ป่วยซึ่งมีไวรัสนี้ติดอยู่ที่มือ
• พื้นหน้าสิ่งต่างๆ ปนเปื้อนสิ่งสกปรก
• อาหารหรือเครื่องดื่มปนเปื้อนสิ่งสกปรก
นอกจากนั้นอาจเป็นไปได้ที่การติดเชื้อแพร่กระจายผ่านทางละอองที่ฟุ้งอยู่ในอากาศขณะที่คนกำลังอาเจียน
ในกรณีส่วนมาก การแพร่เชื้อเกิดจากคนที่มีอาการเหล่านี้ คนบางคนอาจแพร่เชื้อได้โดยไม่มีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 48 ชั่วโมงแรกของการฟื้นจากโรค
จะป้องกันโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ได้อย่างไร?
หลังจากใช้ห้องสุขา เปลี่ยนผ้าอ้อม และก่อนกินหรือประกอบอาหาร ท่านต้องล้างมือด้วยสบู่และน้ำก๊อกให้สะอาดหมดจดอย่างน้อย 15 วินาที และต้องเช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าเช็ดมือที่สะอาด
ผู้ที่เป็นโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ควรทำอย่างไร?
โรคนี้ไม่มีการรักษาโดยเฉพาะ นอกจากจะให้ผู้ป่วยพักผ่อนและดื่มของเหลวมากๆ คนส่วนมากจะหายจากโรคนี้โดยไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ อย่างไรก็ตาม โรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้อาจร้ายแรงสำหรับผู้ป่วยที่ประสบความลำบากในการทดแทนน้ำที่เสียไปเพราะการอาเจียนและท้องร่วง
ผู้ที่มีอาการอาเจียนหรือท้องร่วงควร:
• พักผ่อนอยู่กับบ้าน หยุดงาน หรือหยุดไปโรงเรียนหรือสถานดูแลเด็ก
• อย่าทำอาหารให้คนอื่นรับประทาน และหยุดดูแลแลคนป่วย เด็ก หรือผู้สูงอายุ ความระมัดระวังเหล่านี้จะต้องดำเนินต่อไปจนกระทั่ง 48 ชั่วโมงหลังจากที่ฟื้นจากโรคนี้แล้ว
• ล้างมือด้วยสบู่และน้ำก๊อกให้สะอาดหมดจดหลังจากที่ใช้ห้องสุขาแล้ว
• ดื่มของเหลวใสๆ เช่น น้ำผลไม้หรือน้ำอัดลมผสมน้ำในอัตราหนึ่งต่อน้ำสี่ส่วน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้และน้ำอัดลมที่ไม่ผสมน้ำ เพราะอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้นและทำให้ท้องเดิน หาซื้อเครื่องดื่มที่ช่วยเสริมน้ำในร่างกายได้จากร้านขายยา ในรายที่สูญเสียน้ำเป็นปริมาณมาก อาจจำเป็นต้องให้ของเหลวผ่านทางเส้นเลือด
ทารกที่มีอาการของโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ และบุคคลอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถกลืนของเหลว สูญเสียน้ำ มีอาการป่วยต่อเนื่อง หรือผู้ที่มีความวิตกกังวล ควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
ผู้ดูแลคนป่วยควรปฏิบัติอย่างไร?
ผู้ดูแลคนป่วยที่เป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำจากก๊อกให้สะอาดหมดจดหลังจากที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วย การทำความสะอาดพื้นหน้าสิ่งของและเสื้อผ้าที่สกปรกจะช่วยลดการแพร่กระจายของไวรัสต่อไป
เมื่อท่านล้างอาเจียนหรืออุจจาระ:
• สวมถุงมือ และล้างมือหลังจากที่ถอดและกำจัดถุงมือแล้ว
• ใช้กระดาษเช็ดชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งหรือผ้าขี้ริ้วเช็ดสิ่งปฏิกูลที่แข็ง ใส่ในถุงพลาสติก แล้วปิดให้สนิทก่อนที่จะทิ้งลงในถังขยะ
• ล้างสิ่งของหรือพื้นหน้าสิ่งของที่สกปรกด้วยน้ำร้อนและยาล้าง แล้วปล่อยให้แห้งสนิท
• บางคนแนะนำให้สวมหน้ากาก
แล้วถ้าเกิดมีการระบาดของโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ล่ะ?
การระบาดของโรคนี้จะทวีขึ้นในฤดูหนาว และมักจะเกิดขึ้นภายในครอบครัวและกลุ่มคน เช่น สถานดูแลคนสูงอายุ โรงพยาบาล ศูนย์ดูแลเด็ก และ โรงเรียน แพทย์และโรงพยาบาลจะต้องแจ้งให้หน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่นทราบถ้ามีผู้ป้วยด้วยโรคนี้อย่างน้อยสองราย และทั้งสองรายมีความเชื่อมโยงกัน
หน่วยงานสาธารณสุขสามารถที่จะ:
• แนะนำวิธีการควบคุมการระบาด
• สอบสวนการระบาดเพื่อหาแหล่งที่เกิดและลักษณะของการแพร่เชื้อ
• แนะนำให้ผู้ป่วยด้วยโรคนี้หยุดงาน หยุดไปโรงเรียน หรือไม่ไปอยู่ในที่ชุมชนสาธารณะอื่นๆ
เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
• แผ่นข้อมูลเกี่ยวกับการควบคุมโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้

หลังจากพ่อเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ ปัน ปัน มาได้ประมาณ 1 กว่าๆ ซึ่งก็เกือบเท่ากับอายุองปัน ปัน พอดี จากเดิมนั้นพ่อเขียน blog ให้ปัน ปัน ใน Blogger ครับซึ่งเป็นของฟรีครับ หลังจากนั้นพ่อก็มาจด Domain Name ใหม่โดยใช้ชื่อปัน ปัน ในการมจดโดยจดชื่อเป็น “punpun.com” แต่ก็มีคนจดแล้ว แต่พ่อก็จองไว้แล้วแต่ไม่รู้อีกเมื่อไรจะได้ชื่อนี้

แต่พ่อก็จดชื่อใหม่ได้เป็น blogpun นี่แหล่ะครับ แต่ก็เป็นบล็อกปัน ปัน เหมือนกันนะครับ แล้วก็ลงมือติดตั้ง  WordPress เพื่อใช้ในการเขียน blog สำหรับขั้นตอนการการติดตั้ง WordPress นั้นไม่ยุ่งยากเพราะพ่อลองติดตั้งจนพอไปวัดไปวาได้ แล้วก็มาถึงขั้นตอนการย้ายข้อมูลจาก Blogger มายัง WordPress จากชื่อเดิม http://www.rakluke.blogspot.com ก็ย้ายบ้านมาอยู่ที่ชื่อนี้ครับ BlogPun-บล็อกปัน ปัน อย่างที่เห็นนี่แหล่ะครับ

ช่วงนี้ปันปันเริ่มพูดได้เป็นบางคำแล้ว เช่นเรียกแม่ แต่อาจจะไม่เรียกตลอด จะออกเป็นบางครั้ง และคำที่ 2 คือ ยาย จะเรียกว่า ยาย ยาย หรือ เรียกตา ตา เวลาเรียกก็จะไปที่ชื่อชอบของทุกคน พอถามว่ายายปันปันคนไหน ก็ชี้มาที่ยายเบ้า ถึงแม้ว่าปันปันจะมียายหลายคน แต่จะจำได้ว่าแต่ละคนชื่ออะไรบ้าง คำที่ 3 ที่เริ่มพูดก็คือ คำว่าปลา เพราะที่บ้านตานงค์จะเลี้ยงปลา ปันปันก็จะชอบไปดูปลามาก มีอยู่วันนึงปลาในบ่อตาย ยายแปวเอาไปทิ้งที่ปรุหลังปลา พอใครมาปันปันก็จะพูดว่า ปลา ปลา และดึงมือทุกคนไปดูปลาที่ตายในบ่อ หรือเวลาเห็นปลาตามหนังสือหรือแผ้นพับหรือตามโปสเตอร์ ก็จะชี้และเรียกปลา ปลา .... ปันปันลูกแม่เก่งจังเลยจ๊ะ เดี๋ยวต่อไปแม่จะมาเล่าให้ฟังอีกนะว่าคำต่อไปปันจะพูดว่าอะไร

คิดถึงปันปันจังเลยจ๊ะ ... คุณยายเล่าให้ฟังว่า คุณยายสวดมนต์เสร็จ ปันปันก็กราบ 3 ครั้งด้วยนะ หรือถ้าเห็นพระในโทรทัศน์หรือที่วัดหรือที่ไหนๆก็แล้วแต่ ปันปันก็จะทำเสียง อื้อ อื้อ และชี้ไปที่พระ เหมือนจะบอกให้ทุกคนทราบ ... สิ่งดีๆอย่างนี้ก็ได้มาจากยายมดเพราะทุกเย็นยายมดก็จะพาเข้าห้องพระ-สวดมนต์ และทุกเช้าก็จะพาปันปันไปที่วัด ปันปันก็จะชอบไปด้วยครับ

แม่อยากจะบอกว่าแม่ขอโทษนะ คือว่าแม่กำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงเคาะประตู แม่ก็รู้แล้วว่าปันปันต้องมาเคาะประตูเรียกแม่แน่เลย แม่ก็จะเปิดประตูออกมาจ๊ะลูก แม่เมื่อเปิดออกแล้วลูกของแม่หงายหลังพึ่ง ไม่ทันตั้งตัวเลย ร้องไห้ด้วยหล่ะ ที่เป็นแบบนี้เพราะปันปันเอาหลังพิงประตูไง ก็เลยไม่ทันระวัง...ขอโทษนะลูกจ๋า..

เมื่ออาทิตย์ก่อนพ่อกับแม่กลับไปบ้านที่โคราช เพื่อไปหาปัน ปัน ที่บ้านยายเค้าทำขนมกัน เป็นขนมเค้กบรรดา ยายๆทั้งหลายเลยให้ปัน ปัน กินขนมเค้ก ซึ่งก็จะมีส่วนผสมของ ไข่+นม+แป้ง พอรุ่งขึ้นซึ่งพ่อ กับ แม่ได้มาทำงานแล้วโทรฯกลับไปบ้านถามยาย บอกว่าปัน ปัน อึออกมาแล้วก้นแดง เวลาล้างก้นก็จะร้องเพราะแสบมาก ยายเลยทายาให้ปัน ปัน พ่อกับแม่เลยช่วยกันวิเคราะห์ว่าปัน ปัน ไปกินอะไรมา ก็นึกขึ้นได้ว่าคงต้องกินขนมเค้กที่ยายมดทำ เพราะมีโอกาสเป้นไปได้มากที่สุดครับ คราวนี้พ่อกับแม่ก็จดบันทึกไว้ใน บล็อกปัน ปัน ว่าปัน ปัน แพ้อีกแล้วครับ

คุณยายแปวเล่าให้ฟังว่า คอนเช้าคุณยายแปวกับตานงก็นอนอยู่ คุณยายฝันว่าตัวอะไรไม่รู้มากัดที่นิ้วโป้งเท้า สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด จนสะดุ้งตื่น พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าปันปันกำลังกัดนิ้วเท้าอยู่ ที่กัดเป็นเพราะว่า จะได้บอกให้คนอื่นรูว่าปันปันตื่นแล้ว ทำไมตานง-ยายแปวยังไม่ตื่นอีก เป็นเรื่องตลกๆจ๊ะ
และอีกเรื่องนึง เดี๋ยวนี้ปันปันเริ่มรู้มากขึ้น ปันปันชอบเล่นถังขยะ ตานงห้ามก็ไม่ฟัง ฉะนั้นตานงจึงต้องใช้ไม้เด็ดคือ ต้องตี ปันปันพอรู้ว่าจะโดนตีก็วิ่งรอบเตียงที่ทำกับข้าวเลย

วันนี้พ่อโทรศัพท์ไปคุยกับแม่ของ ปัน ปัน เกี่ยวกับเรื่องปัน ปัน แม่ก็บอกว่า ปัน ปัน เริ่มจำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นตามลำดับ และตามวัยของ ปัน ปัน ยกตัวอย่างเช่น แม่ถามว่าไหนเรียกว่าต้นมะละกอ , ไหนเรียกว่าต้นมะพร้าว ปัน ปัน ก็จะชี้ได้อย่างถูกต้อง เพียงแต่ว่ายังพูดไม่ได้เท่านั้นเอง อีกอย่างนึ่งเวลามีเสียงโทรศัพท์ดัง ปัน ปัน จะวิ่งไปหาโทรศัพท์และเรียกคนนั้น คนนี้ว่ามีเสียงโทรศัพท์นะ ให้รีบมารับด้วย แต่เวลาใครๆ ให้คุยโทรศัพท์ กับ พ่อ กับ แม่ ปัน ปัน จะไม่ชอบคุยได้แต่ผลัก โทรศัพท์หนีออกไป นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยที่พ่อจำได้ครับ ยังมีอีกแยะที่แม่ของ ปัน ปัน จำได้วันหลังพ่อจะมา Update ให้ใหม่ครับ

วันนี้พ่อนำเรื่องเกี่ยวกับคุณตาของ ปัน ปัน มาเขียนครับ ตอนนี้คุณตาของ ปัน ปัน มานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ มาได้ประมาณ 1 อาทิตย์แล้วครับ ช่วงแรกปัน ปัน ก็มาส่งคุณตาครับเพราะว่าไม่มีคนเลี้ยงปัน ปัน ก็ปัน ปัน ยังเป็นเด็กนี่ครับ เลยต้องมากับยาย ปัน ปัน มาที่นี่ก็เริ่มไอเลยครับ แล้วยังมีน้ำมูกไหลอีกตั้งหาก พ่อเลยต้องมารับปัน ปัน กลับโคราช เพราะกลัวปัน ปัน จะเป็นหนัก ไปถึงโคราชพ่อกับแม่ต้องพาปัน ปัน ไปหาหมอด้วยนะครับ แต่ดีหน่อยที่ปัน ปัน ไม่มีไข้ มีเพียงน้ำมูกไหล แล้วก็ไอ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ประมาท ครับ สืบเนื่องจากปัน ปัน ไปโดนน้ำฝน ที่บ้านยายครับ เลยทำให้เกิดอาการดังกล่าว

ปันปันจะได้เดินทางมาเที่ยวกทม.อีกแล้ว เพราะต้องพาคุณตามาลอกตา แล้วตานงก็ไม่อยากให้ปันปันอยู่บ้านเฉยๆก็เลยพามาเที่ยว การเดินทางครั้งนี้มีผู้ร่วมเดินทางมาประกอบด้วยตาแป๋ว ยาเบ้า ตานงและยายแปว ออกเดินทางจากโคราชเวลาประมาณ 6.00 น. ถึงที่กทม.เวลาประมาณสัก 9.00โมงกว่า แต่ต้องแท่โรงพยาบาลธรรมศาตร์ รังสิตก่อนเพราะต้องพาตาแป๋วมาหาหมดเพื่อลอกตาจ๊ะ หลังจากนั้นตานงกับยายแปวก็คงพาปันปันไปนอนบ้านน้องข้าวกล้อง ตานงบอกว่าจะพาปันปันไปเที่ยวซาฟารีเวิล์ดด้วย ที่นั่นปันปันคงจะเห็นสัตว์หลายชนิดเลย เดี๋ยวพอเลิกงาน 17.30 น.แม่จะรีบไปบ้านน้ากล้วยหาปันปันนะจ๊ะ

วันพรุ่งนี้ปัน ปัน จะได้มาเที่ยวกรุงเทพฯอีกแล้วครับ เพราะต้องพาคุณตามาลอกตาครับ ก็จะมีคุณยายเบ้า มาด้วยนะครับเห็นบอกว่าออกเดินทางมาตอนประมาณ 6 โมงเช้าครับจะมาพักกันที่บ้านน้องก้อง พ่อกว่าจะได้ไปเห็นปัน ปัน ก็คงเป็นวันศุกร์ครับ เพราะว่าพ่อต้องทำงาน วันพุธ กับ วันพฤหัสนี้ครับ เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันแล้วนะครับ

ระหว่างที่ปัน ปัน มาอยู่บ้านพ่อที่ระยอง ปัน ปัน ก็เดินสำรวจทั่วบ้านรวมทั้งรอบบ้านที่มีต้นไม้เต็มไปหมดเลย พ่อก็ไม่ลืมที่จะนำกล่องของเล่นของปัน ปัน มาด้วยนะครับ ซึ่งเมื่อไรที่ปัน ปัน รื้อค้นออกมาเล่นทุกครั้งก็จะมีความสุข ตามภาพที่พ่อนำมาลง blog ให้ปัน ปัน นะครับ

คิดถึงปันปัน

เขียนโดย แม่ปัน ปัน | 12:47 | | 0 ความคิดเห็น »

ปันปัน วันเสาร์นี้แม่ต้องทำงาน แต่หลังจากทำงานเสร็จแม่จะรับกลับโคราชไปหาลูกแล้ว คิดถึงเต็มที่แล้ว คุณยายเล่าให้ฟังว่า คุณยายถามปันปันว่าโทรหาแม่ปอเนอะ ... ปันปันก็พยักหน้า แล้วคุณยายก็ถามว่าไปอยู่กับแม่ปอ พ่อเอกมั้ย ..ปันปันก็พยักหน้าอีก ...คุณยายบอกว่าปิดเทอมคราวหน้าจะพาปันปันไปอยู่กับพ่อ-แม่อีก
แม่อยากจะบอกว่า แม่กับพ่อก็คิดถึงลูกและอยากอยู่กับลูกหมือนกันจ๊ะ รอเวลาอีกนิดนึงนะจ๊ะ

วันนี้พ่อปัน ปัน นำรูปที่พา ปัน ปัน ไปเที่ยวแหลมแม่พิมพ์ ระยอง ซึ่งปัน ปัน ก็ดีใจมากแบบสุดเพราะว่าไม่เคยเห็นสิ่งใหม่ๆ ก่อนมาเที่ยวแหลมแม่พิมพ์ พ่อกับแม่พาปัน ปัน ไปกินอาหารร้าน โจ้ โจ้ ซึ่งอาหารก็พอกินได้เรียกว่าอร่อยก็แล้วกัน ครับ ปัน ปัน ยังได้กิน ข้าวผัดปูด้วยนะครับ เห็นว่ากินได้มากด้วยนะครับ สงสัยอร่อยน่าดู หลังจากนั้นพ่อก็พาไปเที่ยวแหลมแม่พิมพ์ต่อเลยครับ เพราะว่าอยู่ใกล้ๆกัน ขับรถอีกไม่นานก็ถึงครับ พอไปถึงปัน ปัน ดีใจใหญ่เลยครับ

แม่พาปันปันไปเที่ยวทะเลด้วย ตอนแรกปันปันกลัวไม่ปล่อยแม่เลย แม่ก็ให้ปันปันย่ำทราย เดินทราบเวลาเปียกและเวลาแห้ง แม่ค่อยพาปันปันไปเจอคลื่น หลังๆเริ่มคุ้นเคย ปันปันเริ่มชอบทะเลแล้ว แม่ก็เลยปล่อย ปันปันไม่กลัวคลื่นเลย เริ่มเดินเข้าหาคลื่น พยายามจะเดินลงไปทะเล พ่อก็เลยปล่อยให้ลูกเดิน พอเดินได้สักพัก ปันปันเริ่มทรงตัวไม่ได้ ล้มลงแต่ดีที่พ่อจับไว้ทัน แต่ปันปันก็ยังได้ชิมรสชาติน้ำทะเล เค็มใช่มั้ยหล่ะ......
พ่อให้ปันปันเริ่มนิดเดียวก็ขึ้นแล้ว เพราะพ่อกับแม่กลัวลูกไม่สบาย เดี๋ยววันหลังพาไปเล่นใหม่นะจ๊ะ

อย่างที่แม่บอกว่าเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาปันปันมาเที่ยวระยอง คุณยายและคุณตาพากันเหมารถตู้มาส่งปันปันเยอะเลย พากันมาตั่งแต่ 23.00 ของวันศุกร์ที่ 7/8/2009 มาถึงวันเสาร์ที่ 8/8/2009 ปันปันมาถึงบ้านคุณพ่อดีใจใหญ่เลย คุณยายมาอยู่แค่ 1 คืนพอวันอาทิตย์ที่ 9 /8/2009 ช่วงประมาณเที่ยงก็กลับแล้ว ตานงค์คงจะคิดถึงปันปันมา รีบสั่งไว้เลยว่าถ้าร้องไห้รีบพาปันปันกลับเลยนะ ปันปันร้องไห้หลังจากที่คุณตาคุณยายกลับไปแล้วนิดเดียวกัน หลังจากนั้นก็สดใสตามสไตล์ของปันปัน พ่อกับแม่พาปันปันไปเที่ยวหลายที่ แต่ละที่ก็ทำให้ปันปันตื่นเต้นไม่น้อย ทั้งเดินทั้งวิ่ง ทั้งส่งเสียดัง น่ารักในแบบของปันปัน แม่กับพ่อตั้งใจกันว่าครั้งหน้าจะพาปันปันมาเที่ยวอีกแน่นอน

ปัน ปันครับเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเราได้ไปอยู่ระยองประมาณ 1 อาทิตย์เต็มเลย ได้ไปหาคุณหมอสุทธิพรเรื่องอาการแพ้ของลูกด้วย คุณหมอบอกว่าให้กินนมในอัตรา 3 : 2 คือนูตรามีเจน 3 ส่วน นมเอนฟาโกร 2 ส่วน ต่อไปสัก 2 เดือนก่อน ถ้าไม่มีอาการแพ้คุณหมอก็ให้เพิ่มที่จะส่วน คุณหมอบอกว่าให้ใจเย็น ค่อยเพิ่มไป ส่วนอาหารทะเลคุณหมอให้กินประมาณ 2 ขวบจ๊ะ
แต่แม่ก็อยากลองให้รู้ไปเลยว่าจะแพ้หรือเปล่า แม่ให้ลูกลองกินข้าวผัดปู และเนื้อปลากะพง ข้าวผัดปูส่วนใหญ่ลูกกินข้าวกับไข่ ส่วนปูลูกไม่ค่อยได้กินเพราะเนื้อปูเขาใส่มาเป็นก้อน แต่เนื้อปลากะพงลูกกินนิดเดียว แม่ก็ดีใจว่าลูกไม่แพ้ พอกลับมาโคราชแม่ลองให้ลูกกินข้าวผัดกุ้งตอนเย็น พอตอนเช้าเท่านั้นหล่ะ ยายแปวบอกว่าปันปันของแม่ถ่ายบ่อยและก้นแดงอีกแล้ววววว แต่ก็เป็นแค่วันเดียวก็หายเพราะกินไม่เยอะ พอหมดฤทธิ์อาหารก็ดีขึ้นจ๊ะ

ทำบุญบ้าน-ตัดผมไฟน้องก้อง เมื่ออาทิตย์ก่อนบ้านยายมีการทำบุญบ้านเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับ คุณยายทวด และตาทวดของปัน ปัน ครับ และยังเป็นการตัดผมไฟใก้กับน้องก้อง ด้วยนะครับ สำหรับน้องก้องก็เป็นลูกของ น้ากล้วยครับ ปัน ปัน ก็เดินตลอดเหมือนเดิม พระท่านจะสวดมนต์ ปัน ปัน ก็เดินเล่น แต่ก็ไม่ไปรบกวนพระ สำหรับปัน ปัน นี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเติบโตในอนาคตข้างหน้า ที่ต้องเรียนรู้การดำเนินชีวิต และ การช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ นะครับ

 

วันนี้พ่อพา ปัน ปัน ไปเที่ยว Rayong Aquarium กันนะครับโดยมีคุณย่าแดง อาโอ พ่อแล้วก็แม่ของปัน ปัน ไปด้วยครับ ไปถึงที่นั่นประมาณ 09.30น ก็ซื้อตั๋วเข้าชมเลยครับ อัตราค่าเข้าชมก็ผู้ใหญ่เสียคนละ 30 บาท ครับ Rayong Aquarium ก็จะมีพันธุ์ปลาทะเลต่างๆ ที่อยู่ในบ้านเราแสดงให้เราดู ปัน ปัน ก็จะตื้นเต้นกับการชมปลาต่างๆ วิ่งไปมา ส่งเสียงดังลั่น เลยครับ

เมื่อวานเป็นวันแม่แห่งชาติ ปัน ปัน ได้มีโอกาสไหว้แม่ปอด้วยนะครับ โดยที่พ่อไหว้คุณย่าก่อนด้วยพวงมาลัย แล้วพ่อก็เตรียมพวงมาลัยให้ ปัน ปัน ไหว้แม่ปอด้วยนะครับ ปัน ปัน อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องสนุก แต่เมื่อปัน ปัน โตขึ้นไปแล้วก็จะรู้เองว่าแม่รัก ปัน ปัน มากแค่ไหน ที่พ่อกับแม่แสดงการกระทำต่างๆ เพื่อเป็นการสั่งสอน ปัน ปัน ทางอ้อม นะครับอย่างน้อยปัน ปัน ก็จะได้เรียนรู้ความรักยังงั้ยและครับ

วันนี้ตามสัญญาที่พ่อเขียน Mind Map ให้ปัน ปัน เราออกเดินทางกันประมาณ 09.30 จากระยองก็มี ปัน ปัน พ่อ แม่ อาโอ แล้วก็ย่าแดง ไปด้วย ปัน ปัน มีท่าทางดีใจแบบสุดๆ ที่จะได้ไปเที่ยวกัน เดินทางไปถึงก็ประมาณเกือบ 10.00 ปัน ปัน วิ่งไปดูใหญ่เลยเพราะว่าไม่เคยเห็น สำหรับ Under Water World ที่พัทยานี้อัตราค่าเข้าชมก็ถ้าเป็นผู้ใหญ่คิดคนละ 250 บาท แต่ปัน ปัน ไม่เสียครับเพราะว่าปัน ปัน ยังส่วนสูงไม่ถึงครับ ช่วง 10.30 มีการแสดงการให้อาหารปลาที่โซน 1 ปัน ปัน ก็ตื่นเต้นมากเลยครับ ไม่ได้ตื่นเต้นคนให้อาหารปลานะครับ แต่ตื่นเต้นผู้บรรยายสาวสวย ตั้งหลาก เพราะว่าปัน ปัน สงสัยว่าทำไม ถึงมีเสียงดังจัง หลังนั้นก็เวลา 11.30 ก็มีการให้อาหารปลาที่โซน2 อีกครั้ง ปัน ปัน ก็เหมือนเดิมครับ คือตื่นเต้นกับผู้บรรยาย มากกว่าที่จะสนใจดูคนให้อาหารปลาเค้าแสดง ออกจาก Under Water World ก็ไปซื้อของกินที่ตลาดหนองมน ก็ได้ของกินมามากมายที่นั่นมีของกินเยอะมากครับ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ประมาณ 16.30 คุณย่าก็ทำอาหารตอนเย็นต่อเลย ส่วนปัน ปัน ก็วิ่งเล่น ตามประสาของเด็กต่อไปครับ สำหรับวันพรุ่งนี้วันเป็นวันแม่ พ่อกับแม่จะพา ปัน ปัน ไหว้คุณย่ากัน นะครับ เพราะว่าพ่อได้ซื้อพวงมาลัยมาแช่ตู้เย็นไว้แล้วครับ

วันนี้ปัน ปัน ได้มาเที่ยวระยอง มียายกับตามาส่งหลายคนเลยครับ ปัน ปัน เดินทางจากโคราชมาตั้งแต่ 6 ทุ่ม มาถึงระยองประมาณตี 5 ปัน ปัน ดีใจมากเลยที่ได้มาเจอพ่อ กับแม่ รอรับพอเปิดประตูรถตู้ออกมา ปัน ปัน ก็โผเข้ากอดพ่อ กับแม่เลยครับ มาถึงบ้านพ่อ ปัน ปัน ก็เริ่มสำรวจเลยเดินไปทั่ว ทุกหน ทุกแห่ง เพราะว่าเป็นสิ่งที่แปลกตาของ ปัน ปัน ช่วงสายๆ ปัน ปัน ก็ได้มาส่งพ่อที่ทำงานด้วยนะครับ ปัน ปัน ดีใจใหญ่เลยที่ได้เห็นสิ่งต่างๆ กลับไปถึงบ้านแม่บอกว่า ปัน ปัน หิวนมแล้วก็เข้าห้องนอนหลับไปแล้ว...

วันนี้พ่อเขียนแผน Mind Map การไปเที่ยวของ ปัน ปัน มาลงให้ ปัน ปัน นะครับก็ไม่มีอะไรมากเขียนแบบคร่าวๆ เพราะทุกอย่างมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ครับ เผื่อปัน ปัน โตขึ้นมาสงสัยว่าเจ้า Mind Map มันคืออะไรพ่อก็จะได้อธิบายให้ปัน ปัน เข้าใจและปัน ปันก็จะสามารถนำไปใช้ได้ยังงั้ยแหละครับ



ช่วงนี้ไข้หวัด 2009 กำลังระบาดอย่างหนักทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วยนะครับ พ่อก็กลัวว่าปัน ปัน จะติดไข้หวัดกับเค้าด้วยยิ่งปัน ปัน แพ้อาหารง่ายด้วย ตอนนี้ที่บ้านของยายพี่ยูฟ่า ก็เป็นไข้หวัดอยู่แต่เป็นไข้หวัดธรรมดา หมอให้นอนอยู่โรงพยาบาลเพื่อรอดูอาการ และสั่งห้ามไม่ให้ญาติไปเยี่ยม เพราะกลัวว่าจะติดต่อกันมาอีก เพราะว่าช่วงนี้ยาที่ใช้รักษาไข้หวัด 2009 ยังมีไม่ทั่วถึงครับ พ่อกับแม่ก็เพียงแต่ภาวนาไม่ให้ปัน ปัน เป็นไข้หวัดไม่ว่าจะเป็น ไข้หวัด 2009 หรือไข้หวัดตามฤดูกาลก็ตามครับ

ปันปันครับ...ช่วงนี้เห็นยายบอกว่าปันปันอ้วกบ่อย พอกินนมไปก็ทำท่าพะอืดพะอม ทุกคนจะลงมติให้ลองผสมนมให้กินดีกว่า เพราะปันปันลองกินของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นขนมปัง ปาท่องโก๋ ไอศกรีม หรือพวกเนื้อสัตว์ต่างๆก็ไม่มีอาการแพ้ และท่าทางพะอืดพะอมเวลากินนม อาจจะเป็นเพราะเบื่อนม และจากการที่ปันปันเรื่มกินอาหารได้หลายอย่างแล้ว ทำให้ปันปันเริ่มรู้รสอาหาร ไม่ว่าจะเป็นรสหวาน รสเปรี้ยวหรือรสขม ทำให้เวลาปันปันกินนมรสเดิมถึงมีอาการอ้วกเพราะมันขมนั้นเอง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมาพ่อกับแม่ได้ลองผสมนมวัวให้ปันปันกิน นมที่ผสมใช้ยี่ห้อ เอนฟาโกร พ่อแม่ไปเลือกดูหลายยี่ห้อเลย ลงมติว่าเป็นแบบนี้ดีกว่า คือถ้าชงนม 5 ออนซ์ระหว่างนมนูตรามีเจนและนมเอนพาโกร จะใส่ในอัตราส่วน 3:2 จ๊ะ แม่ทดลองให้ปันปันกินมาหลายวัน ปันปันก็ยังไม่มีอาการแพ้แต่อย่างไร แม่ก็ให้ลูกกินอย่างนี้ต่อไปสัก2-3 เดือนดูก่อน ถ้าไม่แพ้ก็จะเพิ่มนมวัวให้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นกว่านี้จ๊ะ...อดทนอีกนิดนึงนะลูกรักของแม่

เวลาทุกชั่วโมง ทุกนาที และทุกวินาทีกำลังเดินไปอย่างไม่หยุดนิ่ง เหมือนกับปันปันที่กำลังเจริญเติบโต ทั้งแขน ขา มือ ทุกส่วนของรายกายกำลังมีการพัฒนามากขึ้น ชอบเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทำให้ร่างกายมือบาดแผลอยู่บ่อย ทั้งหัวโน หัวเขียว และมีร่องรอยบาลแผล น้าไอว์ชอบเรียกว่ารอยประสบการณ์ เมื่อวันนี้ก่อนยายแปวเล่าให้ฟังว่าช่วงนี้ช่วงหน้าฝนมีเห็ดขึ้นแถวบ้าน ปันปันเอามือไปจิ้มเห็ดขึ้นมาลองชิม หลังจากนั้นยายแปวบอกว่าปันปันอ้วกตลอดเลย กินนมก็อ้วก แต่ตอนนี้หายดีแล้ว
ช่วงนี้ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่กำลังระบาด ชื่อว่า H1N1 น่ากลัวมากเลยลูก พ่อกับแม่และทุกคนเป็นห่วงลูกมาก กลัวลูกจะติดหวัด ต้องพยายามให้ยายแปวคอยสังเกตุตลอดเวลาว่าปันปันมีอาการผิดปกติหรือเปล่า เชื้อโรคพวกนี้เป็นประเภทเดียวกับเชื้อไวรัสจะแพร่กระจายเร็ว จากการไอ จามของคนที่เป็นโรค ตอนนี้ทั่วประเทสกำลังรณรงค์ ให้กินร้อน ช้อนกลาง และล้างมือ และใส่หน้ากากอนามัยด้วยจ๊ะ
รักษาสุขภาพด้วยนะจ๊ะ ลูกหมาของแม่...

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 กค.ที่ผ่านมาพ่อกับแม่พาปัน ปัน ไปเยี่ยมน้องก้อง สำหรับน้องก้องเป็นลูกของน้ากล้วยกับน้าเดี่ยว ปัน ปัน อาจจะจำยังไม่ได้ก็วันแต่งงานของน้ากล้วยปัน ปัน ยังได้ทำพิธีโกนผมไฟเลยครับ วันนั้นเรามากัน 6 คนครับ ก็มีพ่อ แม่ ยายเบ้า ยายกบ ยายมด แล้วก็ปัน ปัน ออกเดินทางกันมาตั้งแต่ 6.30น.ปัน ปัน ไม่ร้องเลยเล่นตลอดทางเลยมาถึงกรุงเทพฯก็ประมาณ 5 โมงเช้าที่โรงพยาบาลเวชธานี ปัน ปัน ออกอาการแบบดีใจสุดๆ ส่งเสียงดังลั่นโรงพยาบาลเลยครับ พอพี่เลี้ยงนำน้องก้องเข้ามากินนม ปัน ปัน ก็เดินมองหาน้องใหญ่เลยเดินมองตามใต้โต๊ะบ้าง เดินดูรอบๆห้องบ้าง หลังจากเยี่ยมน้องก้องแล้วพ่อกับแม่เดินทางกลับโคราชถึงบ้านประมาณ 5 โมงเย็น ปัน ปัน ก็ยังไม่นอนและก็ยังเล่นปกติ

พ่อกับแม่พาปัน ปัน ไปเที่ยวสวนสัตว์โคราช ปัน ปัน ตื่นตามากเลยถึงปัน ปัน จะง่วงก็ยังไม่ยอมนอนหลับเพราะว่าอยากที่จะดูสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสือโคร่ง งูชนิดต่างๆ ช้าง ยีราฟ (ปัน ปัน ยังให้อาหารยีราฟด้วยนะครับ) แล้วก็ยังมีชะนี นกชนิดต่างๆ หมีต่างๆ และสัตว์ต่างๆอีกมากครับ ปัน ปัน ไม่งอแง้เลยครับ หิวนมก็ร้องนิดหน่อยพอกินอิ่มแล้วก็เดินดูสัตว์ต่อไป สำหรับวันหลังพ่อกับแม่จะพาปัน ปัน ไปดูอีกนะครับ

เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาแม่กลับไปหาลูกปกติ ตื่นตอนเช้าเราก็ได้เจอกัน ปันปันก็ชอบเดิน ชอบเล่น แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ " ปันปันสามารถสั่งขี้มูกได้ " คุณพ่อบอกว่าถ้าอย่างเป็นอย่างนี้ปันปันก็รอดตายแล้ว เพราะถ้าเมื่อใดที่ปันปันไม่สบายหรือมีน้ำมูกเยอะก็สามารถสั่งขี้มูกได้ไม่ต้องใช้ตัวดูดออก เพราะเวลาปันปันต้องดูดขี้มูกแปรงฟัน กินยา หรือแต่งตัวเป็นอะไรที่ยากม๊ากกกกกก ปันปันจะต่อต้านจะไม่ชอบ... แม่ก็ต้องคอยบอกว่าถ้าลูกไม่แปรงฟันฟันก็จะผุนะ ต้องล้างหน้าแปรงฟันก่อนออกจากบ้าน เดี๋ยวไม่หล่อนะ เพราะพี่แก้วตาชอบชมปันปัน พ่อรูปหล่อของพี่... (ถ้ารูปหล่อแล้วนิสัยไม่ดีก็แย่เหมือนกัน ไม่มีเพื่อนนะ)


ปัน ปัน กินนมหลังจากเล่นจนเหนื่อยมาก วิ่งเล่นเสียจนหมดแรง วิ่งทั้งวันเลย พ่อกับแม่เดินตามไม่ทันเลย วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จนเพลิน ก็มีพี่ตุ๊กตา พี่แก้วตา นมที่ปัน ปัน กินก็ยังเป็น “นมนูตรามีเจน” เหมือนเดิมยังไม่เปลี่ยนแปลง ต้องรอให้ปัน ปัน อายุประมาณ 1 ขวบครึ่ง ก่อน พ่อกับแม่จะลองเปลี่ยนนมให้ปัน ปัน กินและจะลองสังเกตุว่าปัน ปัน จะแพ้อีกหรือเปล่าครับ

ปันปันขี้คุย

เขียนโดย แม่ปัน ปัน | 16:48 | 0 ความคิดเห็น »

เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาพ่อกับแม่กับบ้านพร้อมกัน ปันปันตื่นมาร้องงอแงตอนตี 4 เพราะปวดท้องอึ พอเห็นพ่อกับแม่ดีใจใหญ่เลย แล้ววันทั้งวันปันปันก็เดินตลอดเวลา ไม่เคยอยู่นิ่ง เล่นโน่น จับนี่ เวลาที่อยู่นิ่งก็คือนอนหลับ กินนมและก็อ่านหนังสือ ปันปันมีเพื่อนเล่นเยอะเลย คอยวิ่งตามพี่แก้วตา พี่ตุ๊กตา พี่นนนี่(หลานตาอ็อดยายหมิว) และพี่หวิว คุณยายเล่าให้ฟังว่าพี่แก้วตากำลังคุยกับพี่นนนี่อยู่ แล้วปันปันก็เดินไปร่วมวงทำปากขมุบขมิบตามทำท่าเหมือนจะคุยกับเขา ทุกคนหัวเราะใหญ่เลย

วันนี้พ่อเกรินเรื่องน่าเสียวน่าดูครับ ก็สือเนื่องมาจากปัน ปัน แพ้อาหารแล้วถ่ายออกมาเยอะ เมื่อถ่ายแล้วก็เลยเป็นสาเหตุของการเกิด "ก้นแดง" เวลาพ่อกับแม่ล้างก้นให้ ปัน ปัน ก็จะค่อยๆเพราะว่าปัน ปันจะแสบและร้องไห้ดังมากเลย พ่อกับแม่ก็สงสารปัน ปันมากเลยครับ ล้างก้นเสร็จก็จะต้องมาทาครีมสำหรับป้องกันไว้ หลังจากนั้นปัน ปัน ของพ่อก็วิ่งเล่นได้ตามปกติ เมื่อวานแม่ปัน ปัน โทรฯ ไปหาคุณยายที่โคราช บอกว่าปัน ปัน ยังไม่หายเลย ยังร้องเหมือนเดิมก็คือแสบก้นเวลา ปัน ปัน ถ่าย ถ้าไม่หายแม่กลับไปบ้านพ่อจะให้พาปัน ปัน ไปหาคุณหมอครับ วันนี้พ่อ update แค่นี้ก่อนแล้วกันวันหลังพ่อจะมา update ให้อีกครับ.

แพ้อีกแล้ว...

เขียนโดย แม่ปัน ปัน | 14:38 | | 0 ความคิดเห็น »

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาปันปันท้องเสีย ก้นแดงและมีผื่นขึ้นบริเวณขาหนีบ ร้องไห้ใหญ่เลยเวลาที่ล้างกัน แม่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าลูกไปกินอะไรมาเพราะวันเสาร์ลูกกินหลายอย่างมาก ตอนเช้ากินเกี้ยวน้ำ พอตอนบ่ายไปบ้านคุณย่าก็ไปกินหมูแดดเดียว แล้วก็กินเงาะ พอตอนเย็นก็กินแกงจีดวุ้นเส้น ตอนกลางคืนแม่ก็ได้ยินเสียงลูดตด และเวลาล้างก้นก้นก็แดง แต่ตอนนั้นลูกยังไม่แสบมาก แม่เลยนึงสังหรณ์อยู่ในใจ แม่เห็นลูกร้องแล้วสงสารมากเลยนั้งน้ำตาไหลเลย ก็เข้าใจนะลูกมันแสบใช่มั้ย แม่กับพ่อตกลงกันว่าจะไม่ให้ลูกกินอะไรแปลกแล้ว นอกจากนมอย่างเดียว เพราะเวลาเป็นอะไรขึ้นมาก็สงสารลูก...
นี่วันอังคารแม่โทรไปหายายแปว ยายแปวก็บอกว่ายังถ่ายอยู่ แต่ลูกก็ยังเล่น ยังร่าเริงอยู่ คุณตาเล่าให้ฟังว่าพาปันปันเที่ยว ปันปันชี้ทางแต่จะกลับบ้าน คงจะอยากจะไปเล่นที่บ้านใชมั้ย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าแม่กลับไป เราไปเล่นกันใหม่นะ คิดถึงจังเลย..ลูกลิงของแม่..

เขียนโดย แม่ปัน ปัน | 13:23 | 0 ความคิดเห็น »

เย้ เย้ เย้ วันศุกร์แล้ว ดีใจจังเลย จะได้กลับไปหาลูกชายแล้ว แม่ไม่ได้บันทึกการเปลี่ยนแปลงของลูกนานเลย วันนี้มีเรื่องมาเล่ามากมายเลย เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนเย็น ตานงค์เปิดเพลงหลวงพ่อคูณและเพลงของคาราบางอีกหลายเพลง ปันปันเต้นใหญ่เลย พอเพลงจบก็ชูมือเหนือหัวแล้วก็ปรบมือ ยายกบเห็นปันปันเต้นหัวเราะใหญ่เลย แม่ก็นั่งหัวเราะเหมือนกันหล่ะ เต้นเหมือนคนเมาเลย
ปันปันเริ่มโตขึ้นมากแล้ว รู้เรื่องมากแล้ว แต่บางทีขี้โกง ยายแปวเล่าให้แม่ฟังมา ยายกบจับปันปันอาบน้ำ ปันปันไม่อยากอาบร้องไห้ใหญ่เลย แล้วก็ตีขาตัวเองเหมือนกับจะบอกว่ายายกบตี
อาทิตย์นี้พ่อกับไปหาลูกด้วย อีกไม่กี่ชั่วโมงลูกจะได้เจอพอ ส่วนแม่ตอนพรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ เพราะกว่าแมจะไปถึงปันปันก็หลับแล้ว แล้ววันเสาร์-อาทิตย์พ่อกับแม่ก็จะพาปันปันไปเที่ยวกันนะ...

วันนี้พ่อเข้ามา update เกี่ยวกับแผนการณ์ที่จะพาปัน ปัน ไปเที่ยว แต่พ่อก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพาไปไหน
เพราะต้องรอฝ่ายวางแผนก่อน(ก็แม่ของปัน ปันไงครับ)ไม่ส่งแผนให้พ่อสักที พ่อจะได้หาเส้นทางที่จะขับรถพาปัน ปัน ไปเที่ยว ก็กะว่าคราวๆแล้วกัน ปัน ปัน จะได้มาอยู่ที่บ้านพ่อที่ระยอง ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็ 7 วันครับ พ่อกับแม่ว่าจะพาปัน ปัน ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทางทะเล , แล้วก็พาปัน ปัน ไปเดินเล่นที่ชายหาดก้นอ่าว-หาดแม่รำพึง พ่ออาจจะพาปัน ปัน เล่นน้ำทะเลด้วยนะครับแล้วก็พาปัน ปัน กลับมานอนบ้านเรานี่เป็นเพียงโปรแกรมเรียกน้ำย่อยนะครับ วันหลังพ่อกับแม่จะมา Update สถานที่เที่ยวให้ปัน ปัน อีกครับ

วันนี้พ่อเข้าไปเที่ยวบล็อกของพี่นะโมมาครับ เป็นบล็อกที่เหมือนๆกับ บล็อกปัน ปัน ครับก็ บล็อกที่พ่อแม่ทุกคนมีความรักต่อลูก บล็อกนะโม เป็นบันทึกเกี่ยวกับน้องนะโม ในเรื่องทั่วไป ก็เหมือนกับ ปัน ปัน ที่พ่อ กับแม่ พยายามบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ปัน ปัน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการแพ้โปรตีนจากนมวัว หรือว่า เรื่องของพัฒนาการของปัน ปัน ที่ผ่านมาพ่อกับแม่เฝ้าดูการเจริญเติบโตของปัน ปัน เมื่อไรที่พ่อมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ปัน ปัน เพิ่งจะคลอดออกมาแล้วมาคิดว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ซึ่งพ่อกับแม่กว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้ต้องใช้ความอดทนในการรอคอย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาตัวของปัน ปัน หรือว่าเรื่องการแพ้ดปรตีนจากนมวัว และเรื่องอื่นๆ ซึ่งพ่อกับแม่ก็จะคุยกันตลอดเวลาว่า "ปัญหาต่างๆสามารถแก้ไขได้"ครับ

ช่วงนี้เข้าหน้าฝนแล้ว ที่กทม.ฝนตกทุกเช้าแล้ว แม่โทรกลับไปหาลูก คุณยายก็บอกว่าที่โคราชฝนตกเหมือนกัน แต่เมื่อวานนี้ฝนตกช่วง 5โมงเย็นแรงมากเลย คุณยายบอกว่าวันนี้คงไม่ได้พาปัน ปันกลับไปนอนที่บ้านถ้าฝนตก ก็ปัน ปันมีหลายบ้านนะ บางครั้งเวลาช่วงเย็น ปันปันจะร้อง งอแง เหมือนอยากกลับบ้าน พอไปถึงบ้านคุณยายเบ้า ปัน ปันก็จะดีใจ แต่ถ้าวันไหนไม่ร้องหรือฝนตกก็นอนกลับคุณยายแปวและคุณตานงค์ คุณยายยังเล่าใฟ้แม่ฟังอีกว่า เวลาใครชงนมให้ปัน ปันกินก็จะยกมือไหว้ หรือเห็นพระ หรือหระพุทธรูปก็จะยกมือไหว้หรือกราบ 3 ครั้ง น่ารักมากเลยลูก เพราะการไหว้ถือว่าเป็นมรรยายที่ดีงามของคนไทย เพราะการไหว้ถือเป็นวัฒนธรรมของประเทศไทยเรา และประเทศไทยก็ใช้การไหว้เป็นการเคารพกัน แต่ประเทศอื่นเขาจะใช้การโค้งคำนับ หรือการจับมือแทนการไหว้นะ ดีแล้วหล่ะ ทำให้เคยชินเจอใครก็ไหว้ จะได้เป็นสิ่งที่ดีงามติดตัวไป ใครเห็นก็รักก็ชมเชยนะจ๊ะ
ปันปันครับ ช่วงนี้คุณแม่กับคุณพ่อมีแผนที่จะพาปันปันไปเที่ยวที่ระยอง ไปนอนบ้านที่ระยองสัก 4-5 วันนะ สำหรับแผนที่จะไปเที่ยว จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง แผนจะมาเล่าให้ฟังคราวต่อไปนะ เดี๋ยวช่วงนี้ไปคิดแผนการเดินทางก่อนนะ Bye Bye

วันวิสาขบูชากับ ปัน ปัน เมื่อวันที่ 8 พค.ที่ผ่านมาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของโลกวันหนึ่งนั่นคือ"วันวิสาขบูชา" ซึ่งมีความสำคัญแบบย่อๆ คือเป็นวันประสูติ (วันเกิด) วันตรัสรู้ และวันปรินิพาน ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับวันนี้ปัน ปัน ก็ไม่ตกยุคนะครับเพราะว่าพ่อกับแม่ได้พาปัน ปัน ไปทำบุญด้วยนะครับที่วัดศรีสุรโยธินโดยมีคุณยายมด พี่ไอร์ ไปด้วยกัน ปัน ปัน ได้กราบพระพุทธรูปด้วยครับ ได้ฟังธรรม แต่ว่าปัน ปัน ก็ไมใอยู่นิ่งหรอกนะครับ เพราะว่าปัน ปัน ยังเป็นเด็ก พ่อเลยพาปัน ปันไปเดินเล่นรอบๆ วัด ปัน ปัน ตื่นเต้นมากเลยได้เจอสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นที่บ้าน นี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ของปัน ปัน ในเรื่องของการไปวัด ไปวา พ่อกับแม่ได้หัดรวมทั้งสอนปัน ปัน เกี่ยวกับการไหว้พระ กราบพระ รวมทั้งสวดมนต์ด้วยซึ่งปัน ปัน ก็ถือได้ว่าเข้าใจนิดหน่อยว่าถ้าเจอพระแล้วต้องไหว้
หรือว่าเมื่อไรที่พาปัน ปัน เข้าห้องพระปัน ปันต้องกราบพระ ก็มีบ้างวันที่พ่อกับแม่พาปัน ปัน ใส่บาตร
ถ้าปัน ปัน ตื่นนอนตอนเช้าทันพระที่เดินมาบิณบาตรหน้าบ้านยาย พ่อกับแม่พยายามจะพาปัน ปันทำให้เป็นนิสัยไป เมื่อปัน ปัน โตขึ้นไปในอนาคต ปัน ปันจะรู้เองว่าทำไมต้องทำด้วย วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับวันหลังพ่อจะมา update ให้ปัน ปันอีกครับ

เมื่อสักครู่แม่ได้รับโทรศัพท์จากพ่อว่า พ่อได้กลับไปหาลูกแล้ว ดีใจจังเลย เย้ เย้ เย้ แม่กลับไปถึงลูกคงนอนแล้วหล่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ เด็กดี

พ่อต้องขอโทษ ปัน ปัน ด้วยนะครับที่บอกว่าพ่อจะกลับบ้านไปหา ปัน ปัน วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ นี้แล้วพ่อก็ไม่ได้กลับเพราะพ่อต้องทำงาน แทนเพื่อนที่ทำงาน เพราะเค้าต้องไปเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดหัวเข่า กระทันหัน พ่อเลยโทรศัพท์ไปหาแม่ของปัน ปัน บอกว่าพ่อกลับไม่ได้ แม่ก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เพราะว่าแม่กลับทุกอาทิตย์อยู่แล้ว จริงแล้วพ่อคิดถึง ปัน ปัน มากเลยนะครับ ปัน ปัน อยากพาปัน ปัน ไปเที่ยว อยากอุ้ม ปัน ปัน อยากหอมปัน ปัน และอยากเล่นเตะลูกฟุตบอลกับ ปัน ปัน ด้วยนะครับ ปัน ปัน อยู่ที่บ้านยายก็มีคนดูแล เยอะแยะเลยครับ ถ้าปัน ปัน คิดถึงพ่อก็ให้ปัน ปัน มองรูปพ่อกับแม่ในห้องนอนบ้านคุณยาย แทนนะครับ เพราะว่าปัน มองทีไร ปัน ปัน ก็จะยิ้มตลอดเลยครับ.

วันนี้เป็นวันครบรอบวันแต่งงานของพ่อกับแม่ครับ(ครบ 3 ปีนะครับ) ปัน ปันต้องสงสัยแน่เลยว่าวันแต่งงานคือวันอะไร พ่อจะอธิบายสั้นๆ ก็แล้วกันนะครับ เริ่มจากคนสองคน เรียนจบแล้วมีงานทำ แล้วก็มีเงินใช้พอเพียง แล้วก็มารักกันมาใช้ชีวิตร่วมกัน หรือว่าแปลกง่ายๆเลยก็คือมาสร้างครอบครัวของตัวเองครับ พ่อกับแม่เลยตกลงกันมาแต่งงานอยู่ด้วยกัน หลังจากพ่อกับแม่แต่งงานกันก็มีปัน ปัน ยังไงแหละครับ ก็ปัน ปัน เกิดวันที่ 6 เมษายน 2551 ตอน 17.05น. ตอนนี้เราก็เป็นครอบครัวแล้วนะครับ มีพ่อ แม่ ลูก ซึ่งก็คือ ปัน ปัน ไงครับ

ปัน ปัน มองอะไรเอ่ยปัน ปัน มองอะไรเอ่ย ตอนนี้พ่อถ่ายรูปตอนที่ปัน ปัน กำลังคลานเล่นกับพี่แก้วตาอยู่ครับ พูดถึงพี่แก้วตาชอบมาเล่นกับ ปัน ปัน และชอบหยอก ปัน ปัน และชอบไปเที่ยวกับ ปัน ปัน เวลาพ่อกับแม่พาปัน ปัน ไปเที่ยว เหมือนกับพ่อกับแม่มีลูกสาวอีกคนหนึ่งเลยครับ นอกจากมีพี่แก้วตาแล้ว ก็ยังมีพี่ตุ๊กตา พี่หวิว ที่ชอบมาเป็นเพื่อนเล่นของ ปัน ปัน เดี๋ยวนี้ปัน ปัน เริ่มรู้มากแล้ว พอถึงเวลาเย็นก็จะให้คนนั้น คนนี้อุ้มเพื่อจะให้พาออกไปเที่ยว หรือไม่ก็จะให้พากลับ ไปบ้านยายเบ้า พอไปถึงบ้านยายก็ดีใจ ตลบมือ ดิ้นไปมา แล้วก็จะคลานไปเล่น บอลที่พ่อซื้อให้ปัน ปัน หรือไม่ก็ไปตีกลองที่ป้าขวัญซื้อให้ตีแบบสะใจมากๆ มีเรื่องของ ปัน ปัน เกี่ยวกับการตีกลองมาเล่าให้ฟังว่า คุณยายเบ้ากำลังนอนหลับอยู่ แล้วปัน ปันก็เอาไม้กลองมาตีหัวยายเบ้า จนยายตื่นแล้วพูดว่า "หัวคนนะลูกไม่ใช่กลอง" พอได้ยินอย่างนั้น ปัน ปันก็ยิ้มใหญ่เลย คิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่เรื่องจริงแล้วคุณยายเจ็บนะลูก และการตีบุคคลที่มีบุญคุณหรือใครก็ตามถือเป็นเรืองที่บาปนะ เป็นเรื่องที่ไม่น่ารักด้วยจ๊ะ

พ่อกับแม่เฝ้าดูปัน ปัน เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ตอนนี้ปัน ปัน ก็มีอายุได้ 1 ขวบกับอีก 1 เดือนแล้วนะครับ ปัน ปันก็จะเริ่มเดินได้แล้ว ล้มลุกคุกคลานบ้างก็เป็นเรื่องปกติของเด็กๆ ครับ ที่ผ่านมาล้าสุดปัน ปัน ก็หน้าขมำจมูกเป็นแผลเหมือนกับ ตัวตลกที่ชื่อว่า "ชาลีช้อบปิ้น"เป็นตัวตลกของฝรั่งเค้าครับ ตอนนี้ปัน ปัน ก็กินข้าวได้บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากเท่าไร กินแต่นมขมได้มาก ชอบเดินเล่นมากลูกพ่อ เดินไปก็เดินมา ปัน ปัน ไม่รู้จักเหนื่อยบ้างเลยครับ พ่อกับแม่เดินตามยังเหนื่อยเลยครับ อีกเรื่องที่ปัน ปัน ไม่ค่อยชอบคือ ปัน ปัน ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบคนมาวุ่นวายมากนัก ปัน ปัน จะงอแง ชอบเล่นเงียบๆ เดี๋ยววันศุกร์นี้เราก็ได้เจอกันแล้วนะครับ ปัน ปัน พ่อกับแม่ว่าจะพาปัน ปัน ไปเวียนเทียนที่วัดภูเขาลาด เพราะเป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นสำคัญทางพระพุทธศาสนา ของประเทศไทยครับ ปัน ปัน จะได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณีของไทยๆ ยังไงแหละครับ เพราะว่าปัน ปัน เป็นเด็กไทย และจะเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในวันข้างหน้าครับ

เขียนโดย แม่ปัน ปัน | 13:36 | | 0 ความคิดเห็น »

ช่วงนี้หน้าร้อนแล้วลูก อากาศร้อนมากเลย ปันปันของแม่ก็ชอบเล่นน้ำมาก บางวันไปลากกะละมังและนั่งอยู่ในนั้น สงสัยคงจะรอคุณตาคุณยายเอาน้ำใส่กะละมังให้นะ วันนึงเล่นน้ำวันละ 4 รอบเลยได้เรื่องเลย ปันปันไม่สบายอีกแล้ว ไอตลอดเลย แล้วก็อาเจียนด้วย วันนี้เลยต้องไปหาคุณหมอเลย น่าสงสารจังเลย
ปันปันของแม่เริ่มโตขึ้นมาก ฟันเริ่มงอกหลายซี่แล้ว ลูกของแม่นอกจากคำว่า จ๋าจ๋าจ๊ะแล้ว ก็เริ่มพูดคำว่า หม่ำ หม่ำ แล้ว แม่ แม่ แม่ได้แล้ว ดีใจจีงเลยเดินเริ่มคล่องขึ้นทำให้ลูกได้เห็นสิ่งใหม่ๆรอบตัว ลูกของแม่จึงชอบเดินทั้งวันเลย แต่บางครั้งก็มีเดินล้มลุกคลุกคลานบ้างก็เป็นธรรมดา นี่หล่ะเป็นสัจธรรมของชีวิต ว่าคนเราจะสบายได้ก็ต้องผ่านความยากลำบากมาก่อนนะลูก ต่อไปลูกก็ต้องมีความอดทนนะจ๊ะ
ตอนนี้แม่คิดถึงลูกมาก นั่งทำงานไปก็ คิดถึงหน้าลูกไป แม่ก็ต้องอดทนเหมือนกับลูก อีกไม่นานเราก็จะต้องได้อยู่ด้วยกันนะ จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมานะ รู้นะว่าลูกก็คิดถึงแม่ แม่ก็คิดถึงลูกเช่นเดียวกันจ๊ะ

Happy birthday

เขียนโดย akekoksom | 21:16 | 0 ความคิดเห็น »

happy-birthday-pan-pan 

วันนี้เป็นวันเกิดของปัน ปัน ครับ วันที่  6 เมษายน ปัน ปัน ตื่นนอนตามปกติก็ประมาณ 6 โมงเช้า พ่อกับแม่อาบน้ำและแต่งตัวให้ลูกเตรียมไปทำบุญ เลี้ยงเพลพระที่วัด “ภูเขาลาด” แต่ก่อนหน้านี้พ่อ แม่ ปันปัน และยายมดนำขนมข้าวเหนียวแก้วไปถวายพระที่วัดศรีสุรโยธินก่อนครับ ส่วนที่วัดภูเขาลาดทำก๋วยเตี่ยวหมู และย่าแดงนำหมูแนม ไส้อั๋วมาเลี้ยงพระด้วยนะครับ ปันปัน เดินเล่นบนศาลาอย่างสนุกสนานเลยครับ ตอนนี้ปัน ปัน คงยังไม่รู้เรื่องอะไรมาก สำหรับวันเกิดปัน ปัน มีคนให้ของปัน ปัน ด้วยนะครับ ก็มียายก้อนซื้อเค้กให้ปัน ปัน 1 ก้อเป็นรูปมิกกี้เมาส์ ก็ปีเกิดปั ปัน ไงลูก ปัน ปันจำได้หรือเปล่า พอตอนเย็นคุณยายก็เลี่ยงหมูกระทะ แล้วก็ปีนไก่ทอด ปัน ปัน ตืนนอนมาเป่าเค้กของยายก้อนด้วย ปัน ปัน เป่ายังไมเป็นหรอกครับ แต่พ่อกับแม่ก็ให้ปัน ปัน ปัน เป่า เพราะมีเด็กๆ เพื่อน ๆ พี่ ๆ มารอกินเค้กกันเยอะเลยครับ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ พ่อกับแม่ก้คงจะเหมือนพ่อแม่คนอืนๆ คือต้องการให้ปัน ปัน โตขึ้นแล้วเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ เชื่อฟังพ่อแม่เวลาสอนเรื่องต่างๆและรู้จักการแบ่งปัน ตามชื่อของลูกนะครับ “Happy Birthday” นะครับ

คิดถึงจัง

เขียนโดย แม่ปัน ปัน | 17:25 | | 0 ความคิดเห็น »

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาคุณพ่อกลับไปอยู่กับลูกหลายวันเลย จนทำให้ลูกติดคุณพ่อและคุณพ่อก็ติดลูกเช่นกัน คุณพ่อบอกว่าขับรถกลับไปทำงานนั่งคิดถึงลูกตลอดทางเลยหล่ะ พอกลับถึงระยองก็โทรหาเรา 2 คนทันที ลูกได้คุยโทรศัพท์กับคุณพ่อด้วย พอลูกได้ยินเสียงคุณพ่อ ปัน ปันก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลย
และยายแปวยังเล่าให้ฟังอีกว่า พอยายแปวพูดถึงชื่อคุณพ่อ ปันปันรีบคลานไปมองที่ประตู นึกว่าคุณพ่อมา พ่อกับแม่ได้ยินก็สงสารลูก ลูกจ๋าพ่อกับแม่ต้องทำงานนะลูก หาเงินให้ลูกได้ได้เรียนหนังสือ มีเสื้อผ้าดีๆใส่ มีนมกิน อยู่อย่างมีความสุข แต่แม่ก็เข้าใจนะว่าทุกอย่างก็ไม่สำคัญเท่าความอบอุ่นที่พ่อกับแม่ให้แก่ลูก แต่แม่ขอเวลาอีก 1 ปีเท่านั้นเราก็จะได้อยู่พร้อมหน้ากัน เพราะแม่ก็คิดถึงลูกทุกวัน ทุกวันนั่งขีดเวลาอยากให้เวลาหมดไปเร็วๆเพราะเมื่อวันศุกร์มาถึง แม่ก็จะได้เดินทางไปหาลูกและเป็นวันที่มีความสุขที่สุดเลยเนอะ

เย้ เย้ เย้ ฟันปัน ปันงอกแล้วหล่ะลูก มางอกเอาเดือนที่ 10 กว่าๆ แม่กับพ่อและทุกคนลุ้นจนตัวโก่ง คิดไปต่างๆนานา ว่าทำไมฟันไม่งอกเสียที แต่ไม่เป็นไรเพราะคุณตาคุณยายบอกว่างอกเร็วฟันก็หักเร็ว แต่พ่อกับคุณแม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
ฟันซี่แรกของลูก ขึ้นเป็นตุ่มเล็กด้านล่างข้างหน้าจ๊ะ ต่อไปแม่ต้องสอนให้ลูกทำความสะอาดภายในช่องปากเพื่อฟันที่สุขภาพดีและแข็งแรงจ๊ะ

เกี่ยวกับเรื่องของปัน ปัน มีเรื่องมาเล่าให้ปัน ปัน ฟังอีกแล้ว มีอยู่คืนหนึ่งที่ปัน ปัน ตื่นมาร้องตอนประมาณ 6 ทุ่มกว่าร้องอยู่นานมาก คุณยายก็หาสาเหตุไม่เจอว่า ปัน ปัน ร้องเพราะเป็นอะไร ให้กินนมก็ไม่หายร้อง คุณยายเลยปล่อยให้ปัน ปัน ร้องไปจนปัน ปัน นอนหลับไปเอง พอตอนเช้าของวันนั้น ก็ได้ข่าวว่า น้องของปัน ปัน (ที่เป็นลูกของน้าบี) เสียชีวิตอยู่ในท้องของแม่เค้า ซึ่งคุณยายก็ไม่รู้เรื่องมารู้อีกทีก็ตอนเช้า เลยลงความเห็นกันว่าเด็กๆ น่าจะมีสื่ออย่างใดอย่างหนึ่งถึงกัน (เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลโปรดใช้วิจารณาณในการอ่าน) แม่ของปัน ปันก็โทรศัพท์มาเล่าให้พ่อฟัง พ่อก็ไม่ได้บอกว่าอะไรเพียงแต่บอกว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก เพียงแต่เกิดความสงสารเด็กที่ต้องมาเสียชีวิต นี่ก็เป็นลูกคนที่ 2 ของน้าบีแล้วนะที่เสียชีวิต คนแรกชื่อน้องซูโม ส่วนคนนี้พ่อยังไม่รู้ว่าชื่ออะไร ซึ่งตอนเย็นของวันนั้น หมอก็ฝ่าตัดเอาเด็กออกมาตอนประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ หมอบอกสาเหตุของการเสียชีวิตว่า “เนื่องจากเด็กตัวโตมากเวลาเด็กดิ้นในท้องรกเลยไปพันคอเด็กทำให้หายใจไม่ออกและเสียชีวิต” พอวันนั้นคุณยายก็พอปัน ปัน ไปนอนที่บ้านแม่ของปัน ปัน ก็ไม่เเห็นเป็นอะไนปัน ปัน ก็นอนได้เป็นปกติ กินนมตามปกติไม่ร้องตื่นมากินตามเวลา บรรดายายๆ ทั้งหลายเลยคาดเดากันว่าน่าจะมาจาก ไสยศาสตร์ ที่ทำให้ปัน ปัน ร้องไห้และนอนไม่ได้ นี่ก็เป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของปัน ปัน (เป็นเรื่องขำเล่าให้ปัน ปัน ฟัง) ปัน ปัน โตขึ้นต้องมีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตอีกมากครับ

camera_car1

วันนี้พ่อไปเดินห้างแหลมทองระยองมาครับตอนแรกพ่อตั้งใจไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับ Computer ครับพอดีเดินไปบริเวณด้านหน้า เลยเข้าไปดุเห็นรถเข็นเด็กเค้าลดราคาอยู่ เลยเดินเข้าไปถามราคา เพราะว่ารถคันเดิมของปัน ปัน มันสกปรกแล้วครับ พ่อห็นว่าสวยดีเลยซื้อมาให้ปัน ปัน นี่ก็กะว่าคงใช้ได้อีกประมาณ 1-2 ปี ปันปัน คงจะไม่นั่งแล้วเพราะตอนนั้น ปัน ปัน ก็คงอายุประมาณ 3 ขวบแล้วแหล่ะครับ พูดถึงเรื่องรถเข็น ปันปัน ก็ชอบนั่นนะครับเพราะว่าทุกตอนเย็นๆ คุณยาย หรือไม่ก็คุณตาจะพาปัน ปัน นั่งรถเข็นออกมานอกบ้านหน้าถนนเพื่อมาดู รถวิ่งไปวิ่งมา (นี่ตอนที่ปัน ปันกินข้าวเย็นแล้วนะครับ)ปัน ปัน ก็จะรู้เวลาว่ากินข้าวแล้วก็ต้องออกมาหน้าบ้าน แล้วก็จะต้องกลับไปอาบน้ำตอนเย็นๆครับ รูปรถเข็นนี้แม่ปัน ปัน อยากเห็นพ่อเลยถ่ายแล้วก็มาลงในบล็อกปัน ปัน ก็เป็นการ Update บล็อกไปด้วยครับ

สาเหตุทำเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เจ็บป่วยจำนวนมาก

จากข่าว การประชุมนานาชาติ ด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ที่พบว่าปัจจุบันเด็กทั้งโลก เป็นโรคแพ้อาหารกันมาก ถึง 2-8% ของเด็กเล็ก และนมวัว เป็นสาเหตุ สำคัญ ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้ส่งข้อมูลสนับสนุน เรื่องโรคแพ้โปรตีนนมวัว เป็นเรื่องที่ซ่อนอยู่ในการเจ็บป่วยของเด็กเล็ก เป็นจำนวนมาก โดยพ่อแม่ผู้เลี้ยงดู อาจไม่ได้ฉุกคิดว่า เป็นจากแพ้โปรตีนนมวัว จากข้อมูลอัตราการแพ้อาหาร โดยเฉพาะนมวัวและไข่ ในเด็กไทยอายุน้อยกว่า 2 ปี อยู่ที่ ร้อยละ 2-8% ถ้าคิดที่ เพียง 3% ประมาณได้ว่า เด็กไทยกลุ่มอายุน้อยกว่า 2 ปีจะมีปัญหาแพ้โปรตีนนมวัวประมาณ 60,000 คน เกิด

โรคนี้เป็นโรคที่ซ่อนอยู่ เนื่องจาก อาการเด็กแพ้โปรตีนนมวัว ก็เหมือนเด็กเจ็บป่วยเป็นหวัด ท้องเสีย ผื่นผิวหนัง ไอไม่หาย มีบางราย เท่านั้นที่กินนมวัวปุ๊บ ปากเจ่อปั๊บ แบบนี้ พ่อแม่รู้เร็ว แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่แบบนั้น กินนมวัวมาตั้ง 2-3 เดือน ถึงมีอาการ แบบนี้พ่อแม่จะรู้ช้า และกว่าจะรู้ก็เสียเวลา เสียเงินไปมาก การวินิจฉัยก็ค่อนข้างยาก เลยไม่ค่อยมีใครจะให้การวินิจฉัย รักษา ตามอาการไป โรคนี้ เผอิญ พออายุ 1 ปี หายเองได้ ร้อยละ 50 อายุ 2 ปี หายเองได้ร้อยละ 70 รักษาลูกไปเรื่อยๆ อาการก็หายไปเอง ก็เลยไม่รู้ว่าแพ้โปรตีนนมวัว

  เมื่อเป็นโรคแพ้โปรตีนนมวัว แล้วก็ต้องกินนมพิเศษ ที่มีการทำลายนมวัว หรือนมไก่แบบที่ศิริราช เสนอมา เด็กก็จะไม่ได้กินนมแม่ ทำให้เด็ก เสียโอกาสได้ประโยชน์จากนมแม่ อื่นๆ เช่นโอกาสพัฒนาทางสมองที่ดีกว่า เรื่องไม่ค่อยเจ็บป่วย เรื่องพัฒนาทางอารมณ์ที่ดี ฯลฯ

ไม่อยากให้ลูกต้องผจญภัย เป็นโรคแพ้โปรตีนนมวัว ต้องตั้งใจและพยายามให้ลูกได้รับนมแม่ โดยเฉพาะระยะ 6 เดือนแรก ควรให้ได้นมแม่อย่างเดียว ถ้าทำไม่ได้ ลองปรึกษาคลินิกนมแม่ใกล้บ้าน แม่ทำงานก็ให้ลูกกินนมแม่ได้ค่ะ ระยะ 6 เดือนแรกสำคัญมาก ถ้าเราไปให้นมวัว หรืออาหารอื่น จะเหมือนกระตุ้นวงจรการเกิดโรคภูมิแพ้ ( allergic march) พอเริ่มแพ้อาหาร ต่อไปก็แพ้ผิวหนัง ต่อไปก็ไปแพ้หลอดลม และหอบหืด

ในกลุ่มเด็ก ที่มีพ่อแม่ เป็นภูมิแพ้ มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้วที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ แม้กินนมแม่ ตอนเล็กอาจยังไม่มีอาการ แต่เมื่อโตขึ้น เมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ เช่นฝุ่นละออง เขาก็อาจเป็นภูมิแพ้ได้ การให้นมแม่ กับเด็กกลุ่มนี้ จึงเหมือนการปกป้องไม่ให้เขาเกิดปัญหา ภูมิแพ้ ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นวัยที่บอบบาง สมองกำลังโต กลุ่มนี้การให้อาหารอื่นโดยเฉพาะ ไข่ขาว อาหารทะเล ถั่ว ก็ต้องให้ด้วยความระวัง สังเกต ว่าให้แล้วแพ้ ก็ต้อง ชะลอไปก่อน ส่วนใหญ่จะมีอาการใน 2-7 วันหลังกิน

เน้นเรื่อง 6 เดือนแรก ควรได้รับนมแม่อย่างเดียว

ระยะ 6 เดือนแรกไม่อยากให้เด็ก นมวัว ข้าว หรือกล้วยเนื่องจาก เด็กอายุ 6 เดือนแรก มีข้อจำกัด
• เยื่อบุทางเดินอาหาร ยังไม่แข็งแรง อยู่กันหลวมๆ
• ระบบน้ำย่อยอาหาร ก็ยังมีไม่พอ
• ภูมิคุ้มกัน ก็ยังสร้างได้ไม่เต็มที่

การให้กินอาหารอื่นๆ เช่น นมผสม ข้าว หรือกล้วย หรือไข่ หรืออื่นๆ ถือเป็นสิ่งแปลกปลอม ปกติถ้าทุกอย่างแข็งแรง อาหารที่เรากินจะถูกย่อยจนเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ที่ลดความแปลกปลอมจนไม่ทำให้แพ้ แต่ทารกวัยนี้ยังไม่สามารถจัดการได้ ก็เลยต้องดูดซึมแบบโมเลกุลใหญ่ๆ ติดความแปลกปลอมไปด้วย หลุดรอดเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ก็เกิดอาการแพ้ขึ้น

  ถ้าเขาได้กินนมแม่ โปรตีนนมแม่ เป็นโปรตีนคน ของแม่ตัวเอง ทารกไม่แพ้ อาหารพวกนี้ ถ้าเด็กโต หรือเราๆกินเข้าไป เรามีทุกอย่างแข็งแรงแล้ว ก็จะสามารถย่อยจนเป็นโมเลกุลอาหารขนาดเล็ก ทำให้เป็นอาหารที่ไม่แปลกปลอม ก็เลยไม่แพ้กัน การได้รับนมแม่ แก้ภัยโรคแพ้โปรตีนนมวัว

โดย พญ. ศิราภรณ์ สวัสดิวร

ที่มา
ข้อมูลจาก : ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย
ภาพประกอบ :
www.thaihealth.or.th

วันนีพ่อมีบทความเกี่ยวกับเด็กที่แพ้โปรตีนจากนมวัวมาฝาก พ่อแม่คนอื่นๆที่มีอาการคล้ายๆกับปัน ปัน เพราะว่าจะได้กระจายความรู้ให้พ่อแม่ผู้ปกครองท่านอื่นๆได้ เฝ้าระวังลูกของตัวเองครับ

วันนี้วันจันทร์ คิดถึงลูกมากเลยจ๊ะ นั่งคิดทุกวันว่าทำอย่างไรถึงจะได้อยู่กับลูก แม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันแต่แม่ก็กลับมาหาลูกทุกอาทิตย์เลยนะ อย่างอาทิตย์ที่ผ่านมาลูกของแม่เริ่มปรบมือได้แล้ว รู้จักควบคุมมือทั้ง2ข้างให้สัมพันธ์กัน และเริ่มที่จะยืนแบบไม่จับอะไร บางครั้งก็มีพลาดล้มบ้าง แต่แม่ก็จะให้มันพลาดน้อยที่สุดจ๊ะ ปันปันชอบคลานเล่นบนบ้าน เวลาถูกอุ้มมากๆก็จะรำคาญ ขอบอ่านหนังสือ แม่พยายามที่จะอ่านหนังสือให้ฟังเพื่อให้ปันปันเป็นเด็กรักการอ่าน ปันปันมีหนังสือเยอะเลยจ๊ะ บางครั้งแม่ก็หอบหนังสือนิทานไปเล่าให้ฟังที่บ้านยายทวด มีพี่แก้วตา พี่ตุ๊กตา พี่เกล้าฟังด้วยหล่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออะไรก็มีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้นเลยลูก

แม่อยากจะบอกปันปันว่า...ลูกเกิดมาครบ32 แม่ก็ดีใจ...เมื่อลูกออกจากโรงพยาบาลได้แม่ก็ดีใจ...เมื่อลูกกลับมาอยู่บ้านแม่ก็จะคอยดูลูกเวลาหลับว่าลูกของแม่ยังหายใจอยู่หรือเปล่า คอยแอบมองหนุ่มน้อยคนนี้อยู่ตลอดเวลาเลย...จนมาวันหนึ่งลูกของแม่นอนแล้วหันหน้าซ้ายขวาได้แม่ก็ดีใจ...สักระยนึงก็จะเริ่มจะพลิกหงายพลิกคว่ำได้แม่ก็ดีใจ...พออีกสักหน่อยก็เริ่มคลานกระดึบ กระดึบได้...หลังจากนั้นก็เริ่มที่จะยืนจับโซฟาเมื่อเห็นลูกทำได้แม่ก็ดีใจ...อีกไม่นานลูกของแม่ก็เริ่มนั่งได้เริ่มคลานสี่ขาได้แล้ว...แม่เฝ้ามองพัฒนาการต่างๆของลูกอย่างมีความสุข
นับตั่งแต่วันที่ลูกเกิดมา ลูกทำให้แม่เข้มแข็งขึ้น ทำให้แม่มีความสุขที่สุดในเวลาที่ลูกสบาย ยิ้มได้ และขณะเดียวทุกข์ที่สุดเวลาลูกไม่สบาย แม่อยากจะบอกลูกว่าไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรแม่คนนี้ก็จะคอยดูแลลูก รักลูก ให้อภัยลูกเสมอนะ ไม่มีใครในโลกนี้จะหวังดีกับเราเท่าพ่อและแม่นะลูก....

ตอนนี้ลูกชายของพ่อ กำลังหัดเดินเที่ยวไปเกาะโต๊ะ เกาะเก้าอี้ทั่วบ้านเลยครับ คุณยายและคุณตาต้องคอยระวัง เพราะเดี๋ยวปัน ปัน จะล้มอีกอย่างหนึ่งที่ปัน ปัน กำลังหัดออกเสียง จ๋า จ๋า จ้ะ เริ่มหัดออกเสียงต่างๆ ตามที่มีคนสอนแล้วแต่ก็ยังออกเสียงยังไม่ค่อยชัด แต่ปัน ปัน ก็พยายามครับ ตอนนี้ปัน ปัน ก็ยังคงกินข้าวกับผักต่างๆ เหมือนเดิมครับ เพราะว่าคุณยายของปัน ปัน ลองให้ปัน ปัน กินปลาแล้วแต่ปัน ปัน ก็ยังแพ้อยู่เลยครับ พ่อกับแม่เลยต้องให้งดก่อน ตอนนี้ปัน ปัน ก็กินนมได้เยอะขึ้นพ่อกับแม่เลยซื้อขวดนม ขนาดใหญ่ประมาณ 8-9 ออนซ์ ซื้อมา 9 ขวดแล้วยังเปลี่ยนจุกนมด้วยนะครับ เพื่อที่จะได้ให้ปัน ปัน ดูดนมได้เร็วขึ้นก็เป็นพัฒนาการอีกอย่างหนึ่งของปัน ปัน เพราะปัน ปัน ต้องหัดเกี่ยวกับการบังคับระบบหายใจ ระบบการกลืนต่างๆ อีกมากมายนี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการดำเนินชีวิตอยู่ของมนุษย์ทุกๆคนครับ

ตอนนี้ปัน ปัน ก็อายุเกิน 9 เดือนกว่าๆแล้วครับ ตอนนี้ก็จะเริ่มนอนตอนกลางวันน้องลงเพราะว่าปัน ปัน ของพ่อมัวแต่ห่วงเล่นเสียมากกว่า ตอนนี้ก็อยากที่จะคลานไปทั่วแล้วก็คลานเร็วมากเลยครับ ปัน ปันจะชอบเล่นจ๊ะเอมากเลยครับ เวลาพ่อกลับบ้านจะชอบเล่นกับปัน ปัน แล้วปัน ปันจะหวัเราะเสียงดังมากและก็จะหาที่ซ่อยด้วยแหล่ะ อีกอย่างหนึ่งตอนนี้ปัน ปัน ก็จะเริ่มหัดเดิน เริ่มพยุงตัวเองโดยหาที่เกาะ และพยายามที่จะเดินแต่ก็มีมั่งที่ต้องล้ม แต่ก็ไม่ค่อยร้อง เรื่องนมที่ปัน ปันกินตอนนี้พ่อคุยกับแม่ว่าคงต้องเพิ่มปริมาณในการชงให้ปัน ปัน แล้วแหล่ะเพราะว่าปัน ปัน กินเก่งขึ้นมากเลยครับ สำหรับวันนี้เอาไว้เพียงเท่านี้นะครับปัน ปัน

ช่วงนี้ปัน ปัน อายุประมาณ 9 เดือนกว่าๆแล้ว กำลังหัดเดิน หัดจับโน่นจับนี่เพื่อจะพยายามตั้งตัวเอง เพื่อที่จะเดินพ่อกับแม่ต้องคอยประคองไม่ให้ล้ม แต่ก้ไม่ได้ช่วยจับปัน ปัน หลอกนะครับเพราะบางครั้งก็ต้องการให้ปัน ปัน รู้จักความเจ็บบ้าง เพื่อที่ปัน ปัน จะได้เรียนรู้ว่าทำอย่างนั้น อย่างนี้มันเจ็บนะ คราวหลังปัน ปัน จะได้ไม่ทำ พ่อกับแม่พาปัน ปัน ไปบ้านคุณย่าที่โคราช เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 /01/09 ที่ผ่านมาปัน ปัน ทั้งคลาน ทั้งหัดตั้งไข่สนุกสนานเลยครับ เมื่อถึงเวลากินนมก็กินแล้วก็เล่นต่อ โดยไม่สนใจที่จะนอนเพราะห่วงเล่นเสียมากกว่าอยู่บ้านคุณย่า ข้างบนบ้านเป็นไม้กระดาน มันเลยเย็นมากหน่อย แต่ปัน ปัน ก็คลานสำรวจไปทั่วบ้านเลยคุณย่า ต้องคอยช่วยกันจับเพราะกลัวว่าปัน ปัน จะตกบรรไดลงมา พ่อกับแม่พาปัน ปัน กลับมาบ้านคุณยายก็ประมาณ บ่าย 2 โมงกว่าๆ มาถึงปัน ปัน ก็หลับในรถเลยพ่อกับแม่เลยแซวกันว่าสงสัย ปัน ปัน ห่วงเลยมากเลยลืมเวลานอนของตนเอง.

ก้นแดง

เขียนโดย แม่ปัน ปัน | 12:43 | 0 ความคิดเห็น »

วันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาคุณพ่อและคุณแม่กลับไปหาลูก เห็นแล้วสงสารเลย ลูกแม่ก้นแดงและตรงขาหนีบแดงมากเลย เวลาโดนน้ำร้องใหญ่เลย คุณพ่อกับคุณแม่ช่วยกันทายายให้ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมาแล้ว จึงกำชับให้ยายแปวกับตานงเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกบ่อยๆๆ
ลูกขอแม่เริ่มคลานเก่งขึ้นแล้ว ชอบปีนดูโน่น ดูนี่ คงเริ่มอยากที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ลูกได้แต่นอนอยากเดียว ต่อไปก็เริ่มมองเห็นสิ่งใหม่ที่น่าสนใจอีกมาก เพราะโลกของเราก็มีอะไรให้น่าศึกษาอีกมาก ลูกของแม่ก็ต้องเริ่มเรียนรู้นะจ๊ะ

พัฒนาการเดือนที่ 9

เขียนโดย แม่ปัน ปัน | 14:29 | 0 ความคิดเห็น »

ลูกอายุ 9 เดือนกว่าๆแล้ว เปลี่ยนจากกระดึบ กระดึบเป็นคลานสี่ขาแล้ว เย้ เย้ ดีใจจังเลย แต่ช่วงนี้ตานงกับยายแปวบอกว่าปัน ปันถ่ายบ่อยอีกแล้ว (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าขี้เปาะ) ก้นแดงเลยลูก เวลาพาไปล้างก้นร้องใหญ่เลย น่าสงสารจังเลยลูกแม่ ลูกจ๋ากว่าลูกจะโตมาได้เล่นเอาทุกคนใจหายใจคว่ำ และพ่อ-แม่ก็คอยเป็นห่วงลูก นี่หล่ะความเป็นห่วงของพ่อแม่เป็นห่วงลูกตั่งแต่เกิดจนกระทั่งโตก็ยังเป็นห่วงอยู่
ลูกจ๋าวันนี้เป็นวันศุกร์แล้ว ตอนนี้แม่ก็รีบทำงานจะได้รีบกลับบ้านไปหาลูก แต่คุณพ่อเร็วกว่าแม่อีก ป่านนี้คงกลับไปถึงแล้วมั้ง ตอนเย็นเจอคุณพ่อไปก่อนนะ แล้วตอนเช้าค่อยเจอกับคุณแม่จ๊ะ

Happy New Year 2009 ปีใหม่นี้พ่อกับแม่ปัน ปัน กลับไปอยู่กับปัน ปัน อย่างคุ้มค่าเวลาเลยครับได้เลี้ยงดูปัน ปัน แบบเต็มอิ่มเลยนี่แม่ปัน ปัน ก้จะกลับมาทำงานวันนี้ แม่ปัน ปัน จะกลับมาจากโคราชประมาณ 19.00 น เพราะว่าแม่ของปันปัน ต้องทำงานวันศุกร์ครับผม ส่วนพ่อนั้นกลับมาตั้งแต่วันอังคารแล้วครับ เพราะพ่อทำงานช่วง 20.30 น อากาศช่วงนี้มันเย็นปัน ปัน เลยมีน้ำมูกไหล แล้วก็ไอเป็นระยะๆ พ่อกับแม่เลยป้อนยาปัน ปัน ก็เหมือนๆเดิมครับ เพราะปัน ปัน กินยายากมากเลยต้องร้องทุกครั้งที่กินยา นี่พ่อคุยกับแม่ของปัน ปัน ว่าถ้าปัน ปัน กินยายากอย่างนี้บ่อยๆ คงต้องไปให้หมอฉีดยาแทน เพราะว่าเจ็บครั้งเดียวไปเลย วันหลังพ่อจะเข้ามาบันทึกเรื่องราวของ ปัน ปัน ต่อนะครับ